หลายท่านที่อยากรวย คงหนีไม่พ้นจะต้องซื้อหาหนังสือ "พ่อรวยสอนลูกรวย" มาอ่านกัน หนังสือเล่มนี้เป็นการเล่าประสบการณ์ของ ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นนามว่า
โรเบิร์ต คิโยซากิ - Robert T. Kiyosaki นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจ MLM ที่เขียนบนสภาวะแวดล้อมการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจของสังคมคนอเมริกัน แล้วส่งต่อให้ผู้อื่นเรียบเรียงให้มีสำนวนที่ชวนให้อ่านและติดตาม
โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยได้อ่านจนกระทั่งได้ไปข้องเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เมื่อปลายปี 2557 ที่ผ่านมา จะเรียกว่าด้วยความจำใจและจำเป็นที่จะต้องหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านก็ว่าได้ เพื่อให้เข้าใจความนึกคิดของคนที่ "อยากรวย" หากผิดพลาดประการใดก็อย่าหาว่าสอนหนังสือสังฆราชเลย ขอให้บทความนี้เป็นเพียงการแชร์ความคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านสายตามาในห้วงหนึ่งของชีวิต แต่ละคนก็จะมีประสบการณ์เป็นของตนเองและนี่ก็เพียงประสบการณ์หนึ่งเท่านั้น เหมือนกับการถ่ายภาพ ภาพที่่ถ่ายจากตากล้องสองคน มุมมองที่ถูกถ่ายทอดผ่านสายตาของตากล้องแต่ละคนย่อมจะสะท้อนอารมณ์ของภาพที่แตกต่างกัน ยิ่งถ้าเป็นการถ่ายภาพบุคคลจะเห็นได้ชัดทั้งสีหน้า แววตา และรอยยิ้ม แม้จะถ่ายพร้อมกันด้วยกล้องตัวเดียวกัน อาจจะลองให้พ่อหรือแม่ถ่ายภาพลูกสักภาพ แล้วเปลี่ยนให้คนแปลกหน้าถ่ายก็น่าจะเห็นความแตกต่างได้
เริ่มต้นครั้งแรกในชีวิตกับการอ่านหนังสือ "พ่อรวยสอนลูกรวย" อันลือลั่นสนั่นโลก ที่ได้อ่านเป็นเล่ม 3 ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะมีความแตกต่างกับเล่มอื่นๆ ที่ผู้เขียนพยายามจะโฆษณาแฝงไว้ตลอดทั้งเล่ม เหมือนกับเล่มที่อ่านนี้มากน้อยเพียงใด ความรู้สึกแรกที่เห็นหน้าปกแล้วทำให้เมินผ่านไปเพราะไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา เข้าใจว่าเป็นการสอนวิธีการทำอย่างไรให้รวย จนเมื่อได้อ่านจริงจัง สัมผัสแรกที่ได้รับคือ.. "นี่เป็นคู่มือการเลี้ยงเด็กนี่!!" ยิ่งถ้าได้อ่านตลอดทั้งเล่ม ก็ยิ่งชัดเจนเพราะมีการพูดถึงพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติของเด็กด้วย แล้วทำไมผู้ใหญ่ตัวโตๆ จึงพากันอ่านแล้วคุยกันโขมงเชียว เมื่ออ่านต่อไปก็เข้าใจว่าจุดประสงค์ของผู้แต่งไม่ได้อยู่ที่การสอนเด็ก แต่เป็นการสอนผู้ใหญ่ให้สอนเด็กที่แฝงนัยยะซ่อนเร้นไว้อย่างแนบเนียน โดยการใช้เด็กเป็นสื่อชักนำ หน้าปกและเนื้อหาภายในก็ตรงกัน แต่เหมือนว่าวัตถุประสงค์ของคนที่ซื้ออาจจะตรงแค่ปก ไม่ค่อยตรงกับเนื้อหาภายในเท่าไร เดาเอาว่าโดยมากที่ที่ซื้อไปเพื่อจะเรียนรู้วิธีการสอนของพ่อรวยและตนเองเป็นลูกที่พร้อมจะรับคำสั่งสอนจากพ่อรวยตามปก "พ่อรวยสอนลูกรวย" มากกว่าการจะหาความรู้เพื่อจะเอาไปฝึกสอนลูกให้เป็นอภิมหาเศรษฐี
เมื่ออ่านจบแล้ว รู้สึกคุ้นๆ อย่างไรไม่ทราบจึงลองค้นประวัติและก็ถึงบางอ้อเมื่อทราบว่าหนึ่งธุรกิจของผู้แต่งคือ ธุรกิจ MLM จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่ออ่านแล้วจึงให้ความรู้สึกเหมือนหนังสือเล่มหนาๆ ขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คที่ AM WAY ให้พวกสมาชิกอ่าน ในตอนนั้นได้มาโดยความบังเอิญและยังมีเวลาว่างพอจะอ่านเล่นได้
อ่านจบก็นั่งคิด ไม่ได้ทึ่งอะไรกับหนังสือเล่มนี้นักเพราะส่วนตัวแล้วได้ผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกับผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ แต่อยู่ในสภาวะที่เลวร้ายกว่าคำว่า "คนเคยจน" ด้วยซ้ำ และไม่ได้มีพ่อรวยมาคอยชี้แนะหรือสั่งสอน มีแต่เพียงความสนใจใคร่รู้เป็นการส่วนตัว ด้วยสงสัยประสาเด็กในความแตกต่างระหว่างชนชั้น ทำไมคนจนจึงไม่รวย และทำไมคนรวยจึงไม่จน เพียงเท่านั้น
ในสมัยก่อนการจะมีร้านขายของชำสักร้านเป็นเรื่องที่ไม่ยากหากมี connetion (อีกแล้ว) ที่มาจากเพื่อนฝูงหรือเครือญาติ และนั่นคือจุดเริ่มต้นประสบการณ์ของการไม่ใช้เงินเลยสักบาทในการจะมีกิจการเป็นของตนเอง ทุกอย่างคือ "เครดิต" ร้านขายของชำคือวงเวียนเงินสดไว้หมุนเวียนเปลี่ยนมือดีๆ นี่เอง วนเข้า แล้ววนออก ยืมสินค้ามาขายก่อนแล้วค่อยจ่ายค่าสินค้าภายหลังตามเงื่อนไข 1/10, n/30, 5% หรืออาจจะเป็นรูปแบบอื่นก็ว่ากันไปตามข้อตกลงแต่ละราย
ปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังคงทำกันเช่นนั้น ไม่มีใครใช้เงินทุนเพื่อไปซื้อสินค้ามาขายเพราะถ้าขายไม่ได้ตามระยะเวลาแม้จะเป็นสินค้าที่ไม่เน่าเสียก็ตกรุ่นแปลว่าขาดทุน แต่ถ้าเป็นการยืมสินค้ามาขายทางฝั่งต้นน้ำจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่อง Produc Life Cycle ขยันนำมาเปลี่ยน และทำการศึกษาข้อมูลเสร็จสรรพว่าจะผลิตอะไรให้ตรงกับความต้องการของตลาดเปลี่ยนเป็นรูปแบบของการฝากขายแทน แต่ถ้าเป็นร้านชำสมัยก่อนก็เก่าเก็บคาร้านสินค้าบางอย่างเลิกผลิตไปสิบกว่าปีก็ยังมีวางขายในร้าน
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ธุรกิจเฟรนไชน์เติบโตขึ้นข้อจำกัดของบทบาทผู้ที่อยู่กลางน้ำก็เริ่มมีมากขึ้น และการจะเข้าถึงธุรกิจค้าปลีกก็ไม่ง่ายดังเก่าก่อนอีกต่อไป เพราะการสร้างอุปสรรคเพื่อกีดกันของบริษัทธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ทั้งตีกัน ตีโอบเล่นกลยุทธ์ทุกเม็ด จนผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ไม่ได้ล้มหายตายจากกันไปมากมาย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการค้าปลีกผู้มาก่อนย่อมได้เปรียบทุ่มทุนสร้างทั้ง Brand Awareness จนถึง Brand Royalty จนแทบใกล้จะเข้าสู่การผูกขาดตลาดธุรกิจค้าปลีกไปแล้ว มาทีหลังต่อให้มีทุนเท่ากันก็ไม่มีสิทธิ์จะไปแข่ง แล้วธุรกิจค้าปลีกทำเลดีๆ ก็ได้กลายเป็นธุรกิจสำหรับผู้มีทุนหนาเท่านั้น ผู้มาใหม่เป็นได้เพียงเฟรนไชน์ซี่ มีทุนเริ่มแรกไม่ถึง 7 หลักก็หมดสิทธิ์ และต่อให้มีสิทธิ์ก็ต้องแบกรับภาระของต้นทุนทั้งสินค้าและการบริหารจัดการ รวมทั้งค่าเฟรนไชน์ฟีที่ต้องจ่ายให้กับเฟรนไชน์ซอร์อีกด้วย
ส่วนตัวแล้วเริ่มสนใจเรื่องอสังหาริมทรัพย์ตอนอายุยี่สิบต้นๆ แต่ก่อนหน้านั้นสิ่งที่สนใจที่สุดคือเทคนิคและวิธีการ "จับเสือมือเปล่า" เพราะครอบครัวไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่จะเรียกว่าร่ำรวยคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ค่อนไปทางจนกรอบคาบจอบคาบเสียมมาเกิดมากกว่า ไม่ทำงานก็ไม่มีรับประทาน แต่โชคยังดีที่มีพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ หากตั้งใจจะทำจริงๆ
อยากจะรวยไม่เห็นจะยากเงินหล่นเกลื่อนถนน แค่มองให้เห็นแล้วจับให้ติดก็เท่านั้นเอง และแล้วก็ได้สัมผัสกับการจับเสือมือเปล่าได้รับเงินค่าตอบแทนจากการปล่อยเช่าช่วงอาคารพาณิชย์ที่มิใช่ของตนเองก้อนหนึ่งเป็นผลตอบแทนที่ได้มาในรูปแบบของ Passive Income ครั้งแรกในชีวิตที่ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าผู้เช่าระดับบนที่ต้องเสียค่าเซ้งหลายเท่าเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยยังเด็กเมื่อพบกับตัวตนของตัวเองจากการทำงานอื่นจึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์อีก
จนกระทั่งเมื่อถึงวัยที่สมควรจะต้องมีบ้านเป็นของตนเอง เพื่อประโยชน์ในการนำมาต่อยอดการทำงานและคาดหวังการได้มาซึ่งผลตอบแทนจากบ้านที่จะซื้อเป็นงานอดิเรก มาถึงจุดนี้จะเล่าวิธีการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในเมืองราคาล้านต้นๆ เมื่อสิบปีก่อน โดยไม่ได้ใช้เงินสักบาทจริงๆ ยกเว้นค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ หรือหากจะคิดเพื่อความสบายใจก็ขออนุญาตบอกว่าใช้เงินไม่ถึงพันบาทละกัน
เมื่อถึงคราวที่จะต้องระดมความรู้ เพื่อให้เกิดความคิดค้นหาวิธีการที่จะได้ครอบครองบ้านด้วยวิธีเก๋ๆ ไม่ต้องใช้แม้แต่เงินวางมัดจำเลย ด้วยสถานการณ์บีบบังคับเพราะในขณะนั้นมีเงินออมเพียงน้อยนิดไม่พอที่จะวางมัดจำด้วยซ้ำ บ้านราคา 1.3 ล้าน วางเงินมัดจำเพื่อทำสัญญา 30,000 เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อไม่มีเงินก็เล่นลูกหน้าด้านกันละ ขอนายหน้าแบบตรงๆ เลย ไม่มีเงินแต่อยากได้บ้าน สเตจเมนท์ผ่านแน่ ถ้าอยากขายก็อยากซื้อ นายหน้าก็ช่วยไม่เอาเงินมัดจำแต่ออกใบสัญญาจะซื้อจะขายเพื่อไปยื่น กู้กับธนาคารได้ 90% ดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี หลังจากนั้นลบ MRR -1 ใช้ประโยชน์จากโครงการบ้านหลังแรกของสำนักงานประกันสังคม แน่นอนว่าติดตามข่าวสารเสมอและหากไม่มีโครงการสนับสนุนจากรัฐบาลในยุคนั้นเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ย ลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง เพื่อให้สอดรับกับโครงการบ้านเอื้ออาทร และเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจก็อาจจะยังไม่คิดเรื่องการซื้อบ้านแน่นอน
เมื่อโอกาสมาแล้วจึงไม่เสียเวลาที่จะรีรออะไรอีก โอกาสเป็นสิ่งที่มาเร็วและไปเร็วเสมอ บางครั้งก็โอกาสดีๆ ไม่เกิดซ้ำซะด้วย จึงรีบออกตระเวนหาบ้านในฝัน ได้เป็นทาวน์เฮาส์เล็กๆ มือสองที่ผ่านการรีโนเวทฝีมือนายหน้าแบบหยาบสุดๆ แต่อยู่ในเมืองใกล้มหาวิทยาลัยแบบรั้วแทบจะติดกัน ปล่อยเช่าง่าย ปล่อยขายไม่ยาก เพราะราคาระดับพนักงานเงินเดือนขอกู้แบงค์เพื่อซื้อได้สบายๆ ปัจจัยสำคัญในการเลือกบ้านสไตล์เด็กๆ ในตอนนั้น เพื่อขายต่อหรือปล่อยเช่าต่อเต็มๆ ในอนาคต แม้จริงๆ แล้วจะเพื่ออยู่อาศัยเอง ไว้เป็นทางหนีทีไล่ ป้องกันความเสี่ยงกรณีไม่มีเงินผ่อนชำระกับธนาคาร คำนวณแล้วจากค่าเช่าอพาร์ทเมนท์กับค่าเช่าบ้านกับค่างวด..พอไปได้
ความได้เปรียบของทำเลทำให้ไม่ต้องกังวลกับโครงการบ้านเอื้ออาทรที่เป็นศัตรูทางตรงของการปล่อยเช่าในตอนนั้นเลย มั่นใจได้บ้านไม่หลุดแน่นนอน เมื่อได้บ้านแล้วก็เริ่มวางแผน หาราคาประเมิน ด้วยว่าวางแผนจะซื้อบ้านมานานแล้วเพียงแต่รอโอกาสที่เหมาะสม จึงเดินบัญชีไว้ให้เพียงพอกับงบประมาณราคาบ้านที่คิดว่าผ่อนไหว คิดเฉพาะเรื่องผ่อนไหวเท่านั้น แล้วค่อยจึงมาดูราคาบ้านอีกที เรื่องสเตจเมนท์จึงพร้อมเสมอ แต่ปัญหาต่อมาก็คือ บ้านล้านกว่าธนาคารให้ 90% แต่วงเงินที่จะได้จากสลิปเงินเดือนคำนวณคร่าวๆ แล้วได้เพียง 900,000 ไม่พอแน่นอน จึงยื่นเรื่องรายได้พิเศษเสริมเข้าไป เพราะบัญชีเดินไว้เหลือเฟือสำหรับรายได้พิเศษที่จะเพิ่มเข้ามาจึงได้วงเงินเพิ่มเป็น 1.1 ล้าน ยังขาดอีก 200,000 ไปตกลงกับนายหน้า อยากได้บ้านแต่ไม่มีเงินช่วยอะไรได้บ้าง อะไรก็ผ่านหมดแล้วเหลือแค่เรื่องนี้ ขอผ่อนจ่ายได้ไหมกับเงินส่วนที่เหลืออีก 200,000 เพื่อหมุนเงินภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจริงๆ หากตอนที่ทำสัญญาซื้อขายให้นายหน้าตั้งราคาซื้อสูงให้พอดีกับวงเงินกู้เพราะราคาประเมินล้นเหลือก็จะไม่ต้องหาเงินอีก 200,000 ในส่วนนี้เลย แต่ก็จำไม่ได้ว่าด้วยเหตุใดจึงไม่ใช้วิธีดังกล่าว เมื่อนายหน้าไม่ยอมให้ผ่อน แต่ให้เป็นส่วนลดแทน 50,000 ก็ยังดี หาอีกประมาณ 170,000 เผื่อค่าดำเนินการอื่นๆ งานนี้ก็เริ่มใช้วิธีหมุนเงินเข้าและออกจากเจ้าหนี้รายย่อยนอกระบบแทน ไม่ใช่ใครอื่นบรรดาญาติสนิทมิตรสหายนั่นเอง รายละเล็กละน้อยหลายราย แต่เวลาการชำระไม่ตรงกัน จนกว่าจะรวบรวมเงินจากรายได้ประจำแล้วไล่ชำระจนหมด เป็นอันว่าก็ได้บ้านหลังแรกในชีวิต
ประสบการณ์ครั้งนั้นจะทำให้ได้รับบ้านฟรีได้เลยถ้าตัดสินใจที่จะไปพักอาศัยในอพาร์ทเมนท์และปล่อยบ้านหลังนั้นให้เช่าแทน เพราะค่าเช่าอพาร์ทเมนท์เดือนละแค่ 2,500-3,000 โดยประมาณ แต่ค่าเช่าบ้านเดือนละ 7,000-8,000 บาท เพียงพอกับค่างวดเพียงเดือนละ 4,000 กว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ หากมีเงินก้อนโตผ่านเข้ามือไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด ไม่มีทางที่จะเอาไปโปะเงินต้นเพื่อลดดอกเบี้ย จะนำไปลงทุนต่อในรูปแบบอื่นๆ เพราะคำนวณแล้วในระยะนั้นเป็นช่วงตื่นทอง ถ้าลงทุนในทองคำจะได้รับผลตอบแทนปีละ 30% มาหักลบกับดอกเบี้ยเงินกู้ 2.5% กว่าจะไปถึงดอกเบี้ย MRR -1% ก็มีเงินเหลือเก็บที่จะเอาไปลงทุนเพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่เพิ่มเข้ามาหลังจากครบกำหนดดอกเบี้ย 2.5% คงที่ 5 ปี ได้สบายๆ เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงปีอัตราดอกเบี้ยก็กลับตัวเป็นขาขึ้น ก็จะได้ส่วนต่างที่จะเอาไปลงทุนอย่างอื่นต่อได้อีกสบายๆ
ด้วยอายุยังน้อยยังสนุกกับเรื่องอื่นๆ เมื่อได้บ้านตามต้องการแล้วก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เอาแค่หาวิธีให้เงินเท่าที่มีทำงานได้ผลตอบแทนมาชดเชยกับอัตราดอกเบี้ยที่เสียให้กับธนาคารโดยไม่ต้องใช้เงินรายได้หลักก็พอใจแล้ว ยิ่งถ้าปล่อยเช่ายังต้องดำเนินการเรื่องทางกฎหมายจุกจิกอีกมากมาย และหากได้ผู้เช่าที่เฮงซวยก็จะมีปัญหาต้องตามแก้อีกเพราะทำด้วยลำพังตัวคนเดียวไม่มีพรรคพวกที่จะมาช่วยแก้ปัญหาให้ได้ แต่ยังไม่ทิ้งแผนการที่จะนำบ้านหลังนี้เข้าจำนองเพื่อซื้อบ้านหลังต่อไปและต่อไป รอจังหวะดีๆ ตระเตรียมผู้ซื้อผู้ขายไว้เรียบร้อย สุดท้ายเมื่ออายุยิ่งมากไฟเริ่มมอดบวกกับงานประจำที่เป็นโปรดปรานทำให้ไม่มีเวลาเหลือที่จะคิดทำอะไรต่อไปได้อีก
ทั้งหมดนี่ไม่ได้มาจากหนังสือหรือตำราเล่มใด ไม่มีพ่อรวยมาสอนให้รวย เป็นเพียงความมุ่งมั่นและทำให้สำเร็จตามเป้าหมายและเงื่อนไขที่วางไว้ "จับเสือมือเปล่า" บนความเชื่อและศรัทธาว่าทุกอย่างทำให้เป็นจริงได้แค่ "คิดให้ออก" เท่านั้นเอง อาจจะเกิดคำถามว่าแล้วปัจจุบันน่าจะรวยมีเงินกองท่วมหัว เปล่าเลยยังมีฐานะปานกลางแค่พอกินพออยู่ ปัจจุบันจะเรียกว่าไม่มีบ้านเป็นของตัวเองก็ได้เพราะบ้านที่ซื้อในครั้งนั้นไม่ซื้อในนามของตัวเอง คนเราจะมีทางเลือกที่จะดำเนินชีวิตต่างกัน บางคนฝันอยากรวย อยากใช้ชีวิตที่หรูหรา สุขสบาย แต่บางคนไม่ต้องรวยแค่ขอใช้ชีวิตอยู่แบบเงียบๆ สงบๆ ได้ทำในสิ่งที่รักที่ชอบและไม่ต้องวุ่นวายกับใครก็พอใจแล้ว ไม่มีใครผิดอยู่ที่ความสบายใจ สุขใจ ในการที่จะเลือกหนทางดำเนินชีวิต สไตล์ของใครก็ของใคร
ที่สำคัญ..สิ่งที่เล่ามาเป็นเพียงการจะบอกว่าถ้าต้องการจะครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ใช้เงินสักบาท "ทำได้จริง" แล้วถ้าหวังจะรวยด้วยอสังหาริมทรัพย์โดยใช้เงินจำนวนน้อยหรือไม่ใช้เลยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือพิสดารอะไรเลยแม้แต่น้อย ต้องก่อนเข้าใจว่าที่เล่ามาวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อหวังผลเชิงพาณิชย์ เพราะจะหวังผลเชิงพาณิชย์ได้อย่างไรโดยไม่มีพรรคมีพวก ไม่มี connection ก็ถูๆ ไถๆ ทำไป ได้ผลตอบแทนมาหลักแสน หรือได้เป็นเบี้ยหัวแตกรายเดือนจะให้รู้สึกว่าเพียงพอหรือ?? กว่าจะสะสมผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำก็ใช้ระยะเวลานาน หากคิดเช่นนั้น คงจะต้องกลับไปทบทวนใหม่ เพราะการจะหวังผลตอบแทนในอสังหาริมทรัพย์ในทางธุรกิจสำหรับอุตสาหกรรมนี้ มักน้อยไม่ใช่เรื่องที่ดี นอกจากจะใช้เงินลงทุนจำนวนน้อยแล้วยังจำเป็นที่จะต้องมองผลตอบแทนไปที่หลักล้านถึงสิบล้านในห้วงระยะเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าได้ลงมือทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว จะมองเพียงผลตอบแทนไม่กี่แสนคงไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไร และหากมองเป้าหมายแบบนี้แล้วจะเห็นว่าวิธีการข้างต้นที่เล่ามาทั้งหมดเป็นวิธีการของเด็กอมมือเท่านั้น
อสังหาริม ทรัพย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อบรม สัมมนา รวยด้วยอสังหา 2558 ลงทุน อสังหา ลงทุนบ้าน ลงทุนคอนโด นายหน้า ที่ดิน คอนโด บ้าน อสังหา 2558 กฎหมายอสังหา