วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"เรือนใจ" คุณค่าที่วัดกันด้วยจิตวิญญาณ


"ถ้าพูดในเชิงของคุณค่าของอสังหาริมทรัพย์ SPIRIT น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด การที่จิตวิญญาณของผู้อยู่อาศัย และจิตวิญญาณของอสังหาริมทรัพย์ ที่เดินทางเข้าสู่จุดสมดุล Charge Life ซึ่งกันและกันจนเป็นหนึ่งเดียวอย่างลงตัว"

เมื่อกล่าวคำ ว่า จิตวิญญาณของอสังหาฯ สำหรับคนไทยยุคใหม่อาจจะฟังดูชวนขบขัน ด้วยมองว่าเป็นสิ่งไม่มีชีวิตจะมีจิตวิญญาณได้อย่างไร แต่สำหรับคนญี่ปุ่นแล้วทุกสิ่งไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ล้วนแล้วแต่มีจิต วิญญาณ มีความหมาย มีความลึกซึ้งในตัวตนของสิ่งนั้นๆ ไม่เฉพาะสิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่ต้องเคารพและให้เกียรติ

แม้แต่คนไทย ยุคก่อนๆ ก็จะเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณของอสังหาริมทรัพย์ได้ดีไม่น้อยเช่นกัน เห็นได้จากการตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ การแสดงออกถึงการยอมรับและเคารพผู้ที่เคยอยู่อาศัยหรือเป็นเจ้าของที่ดิน นั้นๆ มาก่อน

สถานที่ที่เป็น "เรือนใจ" ให้ได้พักพิงยามเหนื่อยอ่อน หรือ เรือนใจที่จะบันทึกทุกความทรงจำที่แสนจะประทับใจร่วมกันกับคนที่รักและหวง แหน คล้ายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของปัจเจกบุคคล นั่นจะใช่คุณค่าของอสังหาฯ หรือไม่

สำหรับนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้วสิ่งที่ต้องทำคือค้นหา Charactor หาจิตวิญญาณที่แท้จริงของอสังหาฯ แล้วขับให้ตัวตนของอสังหาโดดเด่นขึ้นมา ที่อาจจะต้องลงทุนเพิ่มในส่วนของการปรับภูมิทัศน์ รองรับกับความเป็นปัจเจกบุคคลในจิตวิญญาณของผู้อยู่อาศัย ให้สามารถเชื่อมโยงจนเป็นส่วนเดียวกัน เพื่อเสริมสร้างคุณค่าให้แก่อสังหาฯ ทั้งปัจจุบันจนถึงอนาคต ในลักษณะของ "เรือนใจ" ที่จะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และนั่นจะทำให้อสังหาฯ แห่งนั้นประเมินเป็นมูลค่ามิได้เลย และอาจจะต้องเก็บคำว่าทำเลพับใส่กระเป๋าด้วยเช่นกัน

จับทิศตลาดซื้อขาย-ให้เช่า อสังหาฯ 2558

กลุ่มลูกค้าชาวไทยที่มีความมั่งคั่งสูง (High net worth) กำลังกลับมาให้ความสนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นประเภทที่พักอาศัย หรือที่ดิน ตลาดที่พักอาศัยในย่านรอบนอกใจกลางเมือง หรือมิดทาวน์


เป็นตลาดที่อาศัยความต้องการจากกลุ่มลูกค้าที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ เปลี่ยนไป เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอายุไม่มากนัก เป็นครอบครัวขนาดเล็กลง และพักอาศัยในคอนโดมิเนียมในระดับราคาเริ่มต้น ด้านตลาดระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมการเปิดโครงการใหม่ในหลายทำเลชั้นเยี่ยมในใจกลางกรุงเทพฯ นอกจากนี้ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติจากฮ่องกง และสิงคโปร์เริ่มกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อมามองหาโอกาสการลงทุนในโครงการที่ พักอาศัยระดับไฮเอนด์

ตลาดซื้อขายที่พักอาศัย


       ในปี 2558 ตลาดคอนโดมิเนียมในย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่มากมาย แต่ความต้องการที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องจะทำให้นักลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญใน ตลาดยังคงมองเห็นถึงโอกาสในการลงทุน ซีบีอาร์อีเริ่มเห็นถึงการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติอันเป็นผลมาจาก สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความมั่นคง และการขาดโอกาสการลงทุนในประเทศของตนเอง

โดยภาพรวมตลาดยังคงสดใสสำหรับโครงการระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ แม้ว่าในปี 2557 จะเป็นปีที่ดูไม่คึกคัก แต่กลับมีการทำลายสถิติราคาคอนโดมิเนียมที่ระดับราคามากกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตร ถึง 5 โครงการด้วยกัน ได้แก่ 185 ราชดำริ ที่ราคา 330,000 บาทต่อตารางเมตร ส่วนเดอะ สุโขทัย เรสซิเดนเซส เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ และมาร์ค สุขุมวิท ที่ราคา 310,000 บาทต่อตารางเมตร “ตลาดคอนโดมิเนียมหรูได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เป็นตลาดที่แข็งแกร่ง และมีอัตราการยกเลิกการจองซื้อในระดับที่ต่ำมาก ต่างจากตลาดเก็งกำไร” น.ส.อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการซีบีอาร์อี กล่าว

ประการสำคัญ คือ การที่โครงการเหล่านี้สามารถแตะราคาในระดับดังกล่าวมิได้มาจากปัจจัยเพียง ประการเดียว แน่นอนว่าทำเลที่ตั้งมีบทบาทที่สำคัญมาก แต่โครงการเหล่านี้สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นการมีความเข้าใจในความต้องการของตลาดในเรื่องขนาดห้อง รูปแบบสถาปัตยกรรม และการออกแบบภายใน การจัดวางพื้นที่ห้อง และประโยชน์การใช้สอย การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์คุณภาพสูง และการใส่ใจในรายละเอียด รวมทั้งจุดขายในด้านอื่นๆ เช่น การบริหารอาคารโดยเครือโรงแรมระดับสากล วิวทิวทัศน์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีที่ตั้งอยู่ในย่านชั้นนำ ผู้ซื้อที่ยอมจ่ายเงินเพิ่มขึ้นกว่าปกติย่อมจะคาดหวังสินค้าในระดับพรีเมียม

“โครงการที่สามารถสร้างมาตรฐานด้านราคาใหม่ได้ คือ..
อาคารรุ่นใหม่ที่เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์
ที่มีความล้ำหน้า
มากกว่าอาคารรุ่นเก่า”


“ตลาดนี้เป็นตลาดที่มีความเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับบนสุดของตลาด” นายเจมส์ พิทชอน กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี กล่าวเสริม

ราคาคอนโดมิเนียมที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ได้ส่งผลให้ราคาคอนโดฯ ที่นำมาขายต่อ หรือรีเซลส์ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย แม้จะขยับขึ้นในระดับที่น้อยกว่าก็ตาม โครงการที่สร้างเสร็จมามากกว่า 10 ปีและตั้งอยู่ในทำเลชั้นดี อย่างเช่น แอทธินี เรสซิเดนซ์ และเดอะ พาร์ค ชิดลม สามารถทำราคาได้มากกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งสูงกว่าราคาที่ขายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่การก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จถึงเท่าตัว การบริหารจัดการอาคารที่ดี การบำรุงรักษาอาคารตามกำหนดระยะเวลา และการปรับปรุงอาคารเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มูลค่าอาคารเก่าเพิ่มสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ลักษณะดังกล่าวนี้เกิดขึ้นน้อยมากในกรุงเทพฯ ที่ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่อาคารรุ่นใหม่มากกว่า

และนี่คือเหตุผลว่า ทำไมทำเลที่ตั้งมิใช่ปัจจัยเพียงประการเดียวที่เป็นตัวกำหนดในเรื่องราคา และเป็นไปได้ว่ามีคอนโดฯ ที่แล้วเสร็จก่อนปี 2540 ที่ราคาแทบไม่ขยับเลยในช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมาแม้จะตั้งอยู่ใกล้กับคอนโดฯ รุ่นใหม่ที่ได้รับการดูแลเป็นดี และมีการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่มีคุณภาพดีกว่า

“แต่ละอาคารต่างก็มีลักษณะเฉพาะในตลาดของตัวเอง”

ด้วยราคาที่ดินที่อยู่ในช่วงขาขึ้น อาจทำให้เกิดเป็นยุคทองของเจ้าของอาคารรุ่นเก่าที่ลงทุนไปในการปรับปรุง พื้นที่ส่วนกลาง และระบบบำรุงรักษาอาคารต่างๆ ทำให้อาคารของตนได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้ออีกครั้ง

ตลาดคอนโดฯ ในย่านมิดทาวน์ และชานเมืองกำลังเผชิญต่อความท้าทายของตลาด ซีบีอาร์อี ประเมินว่า จะมีคอนโดฯ มากกว่า 100,000 ยูนิต ที่จะแล้วเสร็จในอีก 18 เดือนข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นห้องขนาด 1 ห้องนอน

ผู้ประกอบการหลายราย รายงานอัตราการยกเลิกการจองซื้อในระดับ 15%-20% แต่บททดสอบที่แท้จริงจะมาถึงในช่วงที่ต้องทำการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม เหล่านี้ คำถามคือ ผู้ประกอบการจะสามารถเปลี่ยนยอดขายในช่วงระหว่างดำเนินการก่อสร้างให้เป็น การรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อได้หรือไม่ หรือผู้ที่ซื้อเพื่อเก็งกำไรจะผิดสัญญาหรือไม่ เพราะไม่สามารถขายห้องต่อได้ หรือผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองจะสามารถขอสินเชื่อได้หรือไม่ เพราะกฎระเบียบในการให้สินเชื่อมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

โครงการที่พักอาศัยแนวราบอย่างทาวน์เฮาส์ หรือบ้านเดี่ยวเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับกลุ่มครอบครัวที่ต้องการ พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขึ้น และอาจจะมีสวนพร้อมที่จอดรถ ครอบครัวที่จำเป็นต้องมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่จะไม่เลือกคอนโดฯ ในย่านมิดทาวน์ และชานเมือง เพราะราคาต่อตารางเมตรในทำเลดังกล่าวสูงกว่าทาวน์เฮาส์ หรือบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นผลมาจากราคาค่าก่อสร้างของคอนโดฯ ที่สูงกว่าคอนโดฯขนาด 100 ตารางเมตร บนถนนรัตนาธิเบศร์ ตามแนวรถไฟฟ้าสีม่วงจะมีราคาประมาณ 7 ล้านบาท ซึ่งในราคานี้สามารถซื้อบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาด 200 ตารางเมตร ที่ตั้งอยู่ห่างจากสถานีในแนวรถไฟฟ้าสีม่วงไม่ถึง 1-2 กิโลเมตร

ทั้งนี้ ความต้องการคอนโดฯ ในย่านมิดทาวน์ และชานเมืองจะจำกัดอยู่เพียงห้องพักขนาด 1 ห้องนอน จากการที่ราคาบ้านเดี่ยวปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะราคาที่ดินที่แพง ขึ้น ซีบีอาร์อี พบว่า ทาวน์เฮาส์เป็นทางเลือกที่จับต้องได้มากที่สุด และเป็นโครงการแนวราบประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

“ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจากนี้จะเป็นปีของทาวน์เฮาส์” นายเจมส์ ให้ความเห็น

ตลาดให้เช่าที่พักอาศัย


       จำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อ เนื่อง และส่วนใหญ่เป็นความต้องการเช่าที่พักอาศัยมากกว่าซื้อ โดยส่วนมากเป็นความต้องการที่พักอาศัยขนาด 2-3 ห้องนอน ซึ่งมีปริมาณมากกว่าซัปพลายที่มีอยู่ในตลาด

คอนโดฯ รุ่นใหม่ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาด 1 ห้องนอน และมีการก่อสร้างอพาร์ตเมนต์ใหม่เพียงไม่กี่แห่ง ทำให้ห้องขนาด 2-4 ห้องนอน ที่นำมาปล่อยเช่าในย่านที่ได้รับความนิยมมากที่สุดจากผู้เช่าชาวต่างชาติ อย่างสีลม สาทร และสุขุมวิทมีจำนวนจำกัด

“ในปี 2558 มีอพาร์ตเมนต์ให้เช่าสำหรับชาวต่างชาติเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่จะเปิดให้บริการในย่านซีบีดี”  นายธีราธร ประพันธ์พงศ์ ผู้อำนวยการแผนกให้เช่าที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี กล่าวว่า

“นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ตลาดมีความคึกคักทีเดียว เพราะมีผู้เช่าชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา”

 ในปีนี้ ซีบีอาร์อี คาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้ว่าค่าเช่าต่อเดือนสำหรับห้องขนาด 2-4 ห้องนอนจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี และนักลงทุนที่ซื้อคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่าจะได้รับประโยชน์อย่างมากจากแนวโน้มนี้






ที่มา: manager.co.th

จับทิศตลาดซื้อขาย-ให้เช่า อสังหาฯ 2558

กลุ่มลูกค้าชาวไทยที่มีความมั่งคั่งสูง (High net worth) กำลัง กลับมาให้ความสนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นประเภทที่พักอาศัย หรือที่ดิน ตลาดที่พักอาศัยในย่านรอบนอกใจกลางเมือง หรือมิดทาวน์

เป็นตลาดที่อาศัยความต้องการจากกลุ่มลูกค้า ที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ เปลี่ยนไป เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอายุไม่มากนัก เป็นครอบครัวขนาดเล็กลง และพักอาศัยในคอนโดมิเนียมในระดับราคาเริ่มต้น ด้านตลาดระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมการเปิดโครงการใหม่ในหลายทำเลชั้นเยี่ยมในใจกลางกรุงเทพฯ นอกจากนี้ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติจากฮ่องกง และสิงคโปร์เริ่มกลับเข้ามาอีกครั้งเพื่อมามองหาโอกาสการลงทุนในโครงการที่ พักอาศัยระดับไฮเอนด์

“The Super Tower” บนแยกพระรามเก้าตัดรัชดาฯ

The Rama IX Super Tower at The Grand Rama 9

The Super Tower แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย ด้วยความสูง 615 เมตร จำนวน 125 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 320,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก คือ ศูนย์ประชุม อาคารสำนักงานระดับสูง พื้นที่ค้าปลีกและโรงแรม ของกลุ่ม G-Land ใช้งบประมาณในการลงทุน เป็นมูลค่า 18,000 ล้านบาท

คอนโด..รัชดา มีอะไรดีควรค่าแก่การลงทุน

“สำหรับ ด้านที่อยู่อาศัยบนถนนรัชดาฯ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ทำการสำรวจเมื่อปลายปีที่ผ่านมา (2555) พบว่า ย่านรัชดาภิเษก-ลาดพร้าว เป็นทำเลที่มีโครงการอาคารชุดจำนวนมาก และในอนาคตจะกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ เนื่องจากกำลังมีการก่อสร้างที่ตั้งของหน่วยงาน และธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทประกันชีวิตรายใหญ่ บริษัทจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีชื่อเสียง และยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เปิดทำการแล้ว อีกทั้งจะมีการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ คือ มักกะสันคอมเพล็กซ์ ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เกิดแหล่งงานขนาดใหญ่ ดึงดูดผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดคอนโดมิเนียม”
ที่มา: เว็บไซต์ผู้จัดการ ปี 2556

รัชดาฯ – พระราม 9 ทำเลยอดฮิต

เมื่อ นึกถึงอสังหาประเภทคอนโดมิเนียม เห็นได้จากโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากที่เรียงตัวตามแนวรถไฟฟ้า ด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ทำเลดีๆ ในเมืองหลวงปัจจุบันค่อนข้างหายากขึ้นทุกที ที่มีก็ราคาแสนแพง(เว่อร์) เมื่อประเมินและวิเคราะห์ ด้านต่างๆ แล้วผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่าในการลงทุน แต่สำหรับโซนนี้ยังมีที่ดินดีๆ เหลือให้ได้พัฒนา เป็นอะไรได้มากพอสมควร และโอกาสที่ในอนาคตดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประชาคมอา เซียน (AEC) ก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม

รถไฟฟ้าดันที่ดินรัชดาฯพุ่ง ‘พระราม9-ลาดพร้าว’ ขยาย100%


กูรูอสังหาฯ แนะจับตาที่ดินย่านรัชดาฯ อนาคตสุขุมวิท คาดโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มดันที่ดินพุ่งกว่า 1 ล้านบาทต่อตร.ว. ส่งผลราคาขายคอนโดฯทะยานสู่ 1.8 แสนบาทต่อตร.ม. แย้มพื้นที่พระราม9-ลาดพร้าว จะมีอัตราการขยายตัวกว่า 100% ด้าน คอลลิเออร์ส เปิดตัวเลขที่อยู่อาศัยย่านรัชดาฯ พบยูนิตเหลือขาย 2.8 พันหน่วย ราคาขายเฉลี่ยกว่า 1 แสนบาทต่อตร.ม.

ค้นหาอสังหา ซื้อถูก เพื่ออยู่ หรือ เพื่อ..ขายแพง

หากกำลังมองหาอสังหาริมทรัพย์ ข้อมูลพื้นฐานแรกที่คนส่วนใหญ่จะพิจารณาเป็นอันดับแรกๆ นอกจากทำเล คงหนีไม่พ้นเรื่อง “ราคา” ก็จะเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยชี้ขาดว่าจะตัดสินใจเลือกบ้าน ที่ดิน คอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อการลงทุน หรือทั้งสองอย่าง
ปัจจัยเรื่อง “ราคา” มักจะสัมพันธ์กับ “ทำเล” ที่ตั้งของโครงการ เมื่อเจ้าของโครงการคิดว่าตัวเองมีจุดแข็งที่ดีพอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเลที่ตั้งของโครงการ หรือความโดดเด่นของบางโครงการในด้านต่างๆ ที่จะนำมาใช้เป็นข้อได้เปรียบ หรือชดเชยความเสียเปรียบ เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการของคู่แข่งทั้งทางตรง และทางอ้อม ทั้งเรื่องต้นทุนของโครงการในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน ทำให้บางโครงการอาจจะตั้งราคาไว้ค่อนข้างสูง ในขณะที่โครงการขนาดเล็กหรือเสียเปรียบแม้ว่าจะหาวิธีชดเชยอย่างไร สุดท้ายก็อาจจะต้องใช้กลยุทธ์เรื่อง “ราคา” ซึ่งกลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้ซื้อ
ในมุมของผู้ที่กำลังจะจับจองอสัง หาฯ มาเก็บไว้ในสต๊อกสโตร์ส่วนตัว หรือเพื่อการลงทุน คงมีมุมมองและเงื่อนไขในการเลือกที่เป็นแบบเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล ขณะที่บางคนมองว่าซื้อแพงทำเลหรูดีกว่าไม่ต้องรอนานประเดี๋ยวเดียวราคาก็ พุ่งกระฉูด จะขายต่อหรือจะปล่อยเช่าก็คืนทุนเร็ว หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่น แต่บางทีก็ไม่เร็วดั่งใจนึกเพราะต้องไม่ลืมว่าซื้อมา “แพง” ถึงแม้จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง แต่ต้นทุนของโครงการก็ค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จาก มูลค่าปัจจุบันสุทธิทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการมีค่าค่อนข้างสูง แต่เมื่อวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ กลับมีสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าปัจจุบันสุทธิที่ได้รับ ทำให้เห็นว่าหากโครงการได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้ต้นทุนของ โครงการเพิ่มสูงขึ้นอีก หรือทำให้ผลตอบแทนลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก็อาจทำให้โครงการไม่มีความคุ้มค่า ในการลงทุน ในขณะที่บางคนอาจจะมองว่าซื้อถูกเข้าว่าทำเลไม่เลวร้ายเกินไปก็รับได้ เพื่อจะเหลือเงินไว้ทำอะไรได้อีกมากมาย หรืออาจจะซื้อเพิ่มอีกแห่งเพื่อกระจายความเสี่ยงที่จะได้รับอัตราผลตอบแทน ที่แตกต่างกันในแต่ละระดับ

ทำเลดี..ราคาไม่แพง

น่าจะเป็นจุดร่วมของแนวคิดทั้งสองแบบข้างต้น สำหรับบางคนอาจจะเป็นสุดยอดของหลักการในการหาอสังหามาครอบครองไม่ว่าจะเป็น บ้าน ที่ดิน คอนโด จะเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือจะเป็นการลงทุนไว้สร้างผลตอบแทนในอนาคตระยะสั้นหรือระยะยาว ยังไงก็คุ้มค่าจะมองยังไงก็ดูดีไปเสียหมด แต่จะหาจากที่ไหน “ของดีราคาถูก”
“อสังหาที่ ยังไม่สร้าง” หากซื้ออสังหาที่สร้างเสร็จแล้วจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอาจจะมากถึง 20% เลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่หลายๆ โครงการที่มีการวางกลยุทธ์การจัดการที่ดี มักจะขายหมดก่อนที่โครงการจะเปิดตัวด้วยซ้ำเพราะ “ราคาต่ำกว่าราคาตลาด” บางคนอาจจะซื้อไว้อยู่อาศัยเอง แต่ก็มีอีกหลายคนที่เป็นนักลงทุนที่มุ่งหวังทำฟลิปปิ้ง ซื้อเพื่อนำมาขายต่อเป็นทอดๆ ให้กับผู้ที่สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่อาศัย หรือลงทุน เพื่อทำกำไรระยะสั้น และก็ยังคงมีผู้ที่สนใจทำฟลิปปิ้งที่มาช้าอยู่ในทุกขั้นตอนจนโครงการก่อ สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตราบเท่าที่ราคาของอสังหานั้นยังต่ำกว่าราคาในตลาด
สำหรับ บางคนจะกลัวว่าซื้อแล้วต้องนั่งลุ้นว่าโครงการจะสร้างเสร็จหรือไม่ โดยปกติแล้วเจ้าของโครงการมักจะมองระยะยาว แต่ละโครงการจะสร้างผลตอบแทนให้กับเจ้าของโครงการเป็นเม็ดเงินมหาศาล และผลกำไรดังกล่าวหมายถึงทุนสำรองที่จะดำเนินโครงการอื่นๆ ที่จะสร้างผลกำไรต่อไปอีก ดังนั้นแต่ละบริษัทที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการย่อมจะให้ความสำคัญกับชื่อ เสียงและความเชื่อมั่นมากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะนั่นคือสิ่งที่รับประกันโครงการในอนาคตที่บริษัทจะสามารถขายจนหมด โครงการก่อนกำหนดวันเปิดตัวโครงการด้วยเช่นกัน รวมถึงความพยายามจะควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามระยะเวลาตามกำหนด เพราะหากการก่อสร้างล่าช้าออกไปเท่าใด จะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย และการประมาณการกระแสเงินสดของโครงการจะเปลี่ยนไป ส่งผลให้ผลกำไรสุทธิที่ได้รับจากโครงการลดน้อยลงไปจนอาจไม่คุ้มค่ากับการลง ทุน
หากอยากรู้กลยุทธวิธีการบริหารจัดการของ ที่จะเจาะลึกถึงระบบต่างๆ ที่มากมายกว่านี้ ยินดีเปิดรับทุกท่านไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน เพียงมีความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มากกว่าการพัฒนาให้เป็นเพียงนายหน้า ลึกกว่าการถ่ายทอดองค์ความรู้ให้เป็นเพียงนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับพื้น ฐาน แต่มุ่งเน้นการพัฒนาให้เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความพร้อมในการลงทุนจริงในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โดยหลังจากเข้าใจหลักการ ทฤษฎี และกลยุทธ์ต่างๆ ที่สำคัญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความโดดเด่น

ธอส.ขอปรับนิยามรายได้ลูกค้า-ขยับฐานปล่อยกู้ 2.5 ล้าน

ธอส.หาช่องเพิ่มฐานลูกค้าระดับกลาง หารือกระทรวงการคลังขอปรับนิยามผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง จากกลุ่มกู้ซื้อบ้านไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เพิ่มเป็นไม่เกิน 2-2.5 ล้านบาท รับมือราคาบ้านในกรุงเทพฯยิ่งนับวันยิ่งแพง ปลื้มยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ปีཱུ ดีเกินคาด ปีนี้ตั้งเป้า 1.4 แสนล้านบาท กำไร 9.3 พันล้านเศษ
นางอังคณา ปิลันธน์โอวาท ไชยมนัส กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.เตรียมหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอปรับนิยามผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง จากปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีวงเงินปล่อยกู้ซื้อบ้านต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จะเสนอปรับเป็นไม่เกินรายละ 2-2.5 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันหาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ราคายูนิตละต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ค่อนข้างยากแล้ว ดังนั้น ธอส.ต้องวางแผนเพื่อหาทางขยายฐานลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ เพิ่มขึ้น

ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ 2558

เพราะ “บ้าน” หรือ “ที่อยู่อาศัย” คือ 1 ในปัจจัย 4 ที่ถูกระบุไว้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะยาก ดี มี จนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงถือเป็นดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญในประเทศ นอกจากจะเป็นเครื่องวัดความเป็นอยู่ที่ดี จากกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้าน ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียมแล้ว
การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือคอนโดมิเนียมหรูหราระดับลักชัวรี่ ยังถือเป็นยากระตุ้นการลงทุนชั้นดี สร้างงาน สร้างเงิน สร้างรายได้ ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจหมุนเวียน
ในโอกาสเปิดศักราชปี 2558 ซึ่งถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงและการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ จากหลากหลายนโยบายและสิ่งที่จะเกิดขึ้น อันก่อให้เกิดพลวัตที่รุนแรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้
ไม่ว่าจะเป็นการผ่านร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนร่าง พ.ร.บ. ภาษีมรดก, การเดินเครื่องอภิมหาโปรเจกต์รถไฟฟ้า 10 สาย ซึ่งไม่ว่าจะตัดผ่านบ้านใคร ก็กลายเป็นส้มหล่นใส่โครมใหญ่, การเปิดตัวโครงการรถไฟทางคู่ร่วมกับประเทศจีนและญี่ปุ่น ไปจนถึงการเปิดประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้ทิศทางของอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีแพะ จะสดใสสวยงามเพียงไร โปรดรับฟังมุมมองของผู้เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้…..

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"The Super Tower" บนแยกพระรามเก้าตัดรัชดาฯ

The Rama IX Super Tower at The Grand Rama 9


The Super Tower แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของประเทศไทย ด้วยความสูง 615 เมตร จำนวน 125 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอย 320,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก คือ ศูนย์ประชุม อาคารสำนักงานระดับสูง พื้นที่ค้าปลีกและโรงแรม ของกลุ่ม G-Land ใช้งบประมาณในการลงทุน เป็นมูลค่า 18,000 ล้านบาท



บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ “จีแลนด์” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ใจกลางเมืองระดับแถวหน้าของประเทศไทย สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย ด้วยการเนรมิตโครงการ เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ (The Super Tower) ที่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ของตึกระฟ้าเมืองไทยที่สูงสุดในอาเซียน และติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก ด้วยความสูง 615 เมตร 125 ชั้น ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของอาเซียนและเป็นแหล่งท่องเที่ยว ชั้นนำระดับโลก


นายโยธิน บุญดีเจริญ ประธานกรรมการ บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงการพัฒนาโครงการดังกล่าวว่า “โครงการ The  Super Tower มีพื้นที่ก่อสร้างทั้งหมด 320,000 ตารางเมตร โดยจะเป็นอาคารหลักใน เดอะ แกรนด์ พระราม 9 (The Grand Rama 9) โอบล้อมด้วยอาคารสนับสนุนต่างๆ ที่มีฟังก์ชั่นแตกต่างกันไป ซึ่ง The  Super Tower เป็นการเติมเต็มความครบครันจากเดิมที่มีอยู่ 5 รูปแบบ จะครอบคลุมเป็น 6 รูปแบบ ซึ่งจัดว่าเป็นโครงการผสมสานที่มีความสมบูรณ์แบบขนาดใหญ่ที่สุดแห่งเดียวใน กรุงเทพฯ โดยสามารถรองรับนักธุรกิจและนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้จำนวน มาก”“ทั้งนี้ โครงการยักษ์ใหญ่ เดอะ แกรนด์ พระราม9 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 73 ไร่ บริเวณสี่แยกพระราม 9 จุดตัดถนนรัชดาภิเษก ที่เชื่อมระบบขนส่งมวลชนสำคัญๆ อย่างรถไฟฟ้าใต้ดิน และแอร์พอร์ตลิ้งค์ มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 1.2 ล้าน ตารางเมตร ทำให้รองรับคนได้สูงถึง 2-3 แสนคนต่อวัน โดยมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 100,000 ล้านบาท จากการที่เราได้พัฒนา เดอะ แกรนด์ พระราม9 อันประกอบไปด้วยรูปแบบโครงการต่างๆได้แก่ ที่พักอาศัย (เบ็ล แกรนด์ พระราม 9), อาคารสำนักงาน (จีแลนด์ ทาวเวอร์ – เดอะ ไนน์ ทาวเวอร์ส – สำนักงานใหญ่ของยูนิลิเวอร์), ศูนย์ประชุมและห้องจัดเลี้ยง, ช็อปปิ้งอาเขต (เซ็นทรัล พลาซา แกรนด์ พระราม 9 – เดอะ ช็อปปส์ แกรนด์ พระราม 9) และ โรงแรมหรู โดยจีแลนด์บริหารและพัฒนาโครงการต่างๆ ดังกล่าว จึงทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ จากนั้นจีแลนด์จึงนำเม็ดเงินส่วนนี้มาพัฒนาโครงการ The  Super Tower ซึ่งจะกลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของประเทศไทย ที่เป็นทั้งศูนย์กลางธุรกิจชั้นนำและสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่ทุกคนจะ ต้องมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต” นายโยธินกล่าวเพิ่มเติม


สำหรับ โครงการ The  Super Tower เป็นอาคารสูงในรูปแบบ Mixed Used Development แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของอาคารสูง ซึ่งประกอบไปด้วย สำนักงานระดับพรีเมี่ยมที่มีมาตรฐานสากล พร้อมรองรับการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงของบริษัทต่างชาติระดับชั้นนำของโลก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร ประกันภัย บริษัทโบรกเกอร์ บริษัทค้าหลักทรัพย์ บริษัทกองทุนต่างๆที่เป็นธุรกิจบริการ และที่ปรึกษาทางการเงิน ตลอดจนภาคธุรกิจด้านเทคโนโลยี และโทรคมนาคม โดยมุ่งในการเป็นศูนย์กลางที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ (Headquarter) แห่งภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของโรงแรมระดับหกดาวที่พร้อมต้อนรับบุคคลสำคัญระดับโลก และส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งพักผ่อน โดยมีจุดชมวิวที่สูงราวกับได้เหยียบเส้นขอบฟ้า สามารถที่จะสัมผัสทัศนียภาพของกรุงเทพฯในแบบพาโนราม่าได้งดงามที่สุดแห่ง หนึ่ง พร้อมกันนี้ยังเป็นศูนย์รวมไลฟสไตล์ที่หรูหราทันสมัย ครบวงจรที่สุดในประเทศไทย”


ส่วนของด้านหน้าอาคาร The Super Tower ได้ถูกจัดสรรให้เป็นศูนย์ประชุม เพื่อรองรับการจัดงานประชุมใหญ่ หรือการจัดงานนิทรรศการ ด้วยพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร โดยชั้นบนของส่วนนี้จะเปิดโล่ง และตกแต่งเป็นสวนสีเขียว เพื่อรองรับกิจกรรมกลางแจ้งและความบันเทิงต่างๆ อีกทั้งยังมีการเตรียมที่จอดรถเพื่อรองรับความต้องการของคนในอาคารได้อย่าง เพียงพอ และสุดท้ายเป็นส่วนด้านข้างของตัวอาคาร โดยจะเป็นส่วนของร้านค้าชั้นนำ ซึ่งเชื่อมต่อจาก เดอะ ช็อปปส์ แกรนด์ พระราม 9 ได้ขยายมาถึงอาคาร The Super Tower ด้วย


สำหรับ การก่อสร้างของโครงการ The Super Tower จีแลนด์ได้รับความร่วมมือจากบริษัท SKIDMORE, OWINGS & MERRILL LLP (SOM) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญงานออกแบบและก่อสร้างอาคารสูงระดับโลกมาเป็นที่ปรึกษา ให้กับโครงการนี้ จึงสามารถรับรองในเรื่องความปลอดภัยต่างๆได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันแผ่นดินไหว ระบบแจ้งเหตุฉุกเฉิน อีกทั้งยังเป็นการส่งผ่านเทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัยเข้ามาสู่ประเทศไทย และเมื่อโครงการสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2562 คนไทยก็จะสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านนี้ไปยังประเทศอื่นได้ต่อไปในอนาคต โครงการนี้นับว่าเป็นสุดยอดแห่งวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ของเมือง ไทย ที่ติดอันดับท็อปเท็นของโลก


The Super Tower ถูกออกแบบตัวอาคารโดยใช้แนวคิดอนุรักษ์พลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามข้อกำหนดของการรับรองอาคารเขียวระดับแพลทติ นั่ม ภายใต้มาตรฐาน LEED (Leadership in Energy & Environmental Design) โดย USGBC (U.S. Green Building Council) ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีตึกสูงเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐานนี้ โดยจีแลนด์ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ, ระหว่างก่อสร้าง และระหว่างเปิดใช้อาคาร อาทิ กระจกฉนวนกันความร้อนรอบนอกอาคาร ระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง การใช้ระบบส่งจ่ายอากาศแบบ VAV ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิห้องได้อย่างแม่นยำ การเลือกใช้วัสดุที่ประหยัดพลังงาน และการใช้โซลาร์เซลล์มาทดแทนกระแสไฟฟ้าบางประเภท ทั้งนี้ ยังจัดให้มีที่จอดรถสำหรับผู้ที่ปั่นจักรยานมาทำงาน พร้อมกับจัดสรรห้องอาบน้ำแต่งตัวภายในอาคารไว้รองรับอีกด้วย ซึ่งเป็นการสนับสนุนวิถีชีวิตสีเขียวในการเดินทางที่ประหยัดพลังงานและสะดวก สบาย สำหรับวิถีคนเมืองได้อย่างแท้จริง

........................


โครงการ เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์
เป็นตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย สูงสุดในอาเซียน
และยังมีความสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก
โครงการนี้จะกลายเป็น..
แลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศไทย
เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ของอาเซียน
และเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก


........................


ประธานกรรมการ บริษัท แกรนด์ คาแนลฯ กล่าว

สำหรับ โครงการ เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ จะเป็นอาคารสูงในรูปแบบโครงการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชยกรรมแบบผสมผสาน (มิกซ์ยูส ดีเวล– ลอปเมนท์) แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของอาคารสูง ซึ่งประกอบไปด้วย สำนักงานระดับพรีเมียมที่มีมาตรฐานสากล พร้อมรองรับการทำงานตลอด 24 ชั่วโมงของบริษัทต่างชาติระดับชั้นนำของโลก ได้แก่ กลุ่มธนาคาร ประกันภัย บริษัทโบรกเกอร์ บริษัทค้าหลักทรัพย์ และโทรคมนาคม เป็นต้น โดยมุ่งในการเป็นศูนย์กลางที่ตั้งของสำนักงานใหญ่แห่งภูมิภาคอาเซียน นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของโรงแรมระดับ 6 ดาว และส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งพักผ่อน โดยมีจุดชมวิวที่สูงราวกับได้เหยียบเส้นขอบฟ้า สามารถสัมผัสทัศนียภาพของกรุงเทพฯ ในแบบพาโนรามาได้

ส่วน ของด้านหน้าอาคาร เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ จะจัดสรรให้เป็นศูนย์ประชุม เพื่อรองรับการจัดงานประชุมใหญ่ หรือการจัดงานนิทรรศการ ด้วยพื้นที่กว่า 6,000 ตร.ม. โดยชั้นบนของส่วนนี้จะเปิดโล่ง และตกแต่งเป็นสวนสีเขียว เพื่อรองรับกิจกรรมกลางแจ้งและความบันเทิงต่างๆ และสุดท้ายเป็นส่วนด้านข้างของตัวอาคาร จะเป็นส่วนของร้านค้าชั้นนำเชื่อมต่อจาก เดอะ ช็อปปส์ แกรนด์ พระราม 9 ได้ขยายมาถึงอาคาร เดอะ ซุปเปอร์ ทาวเวอร์ ด้วย

ทั้ง นี้หากโครงการ เดอะ ซูเปอร์ ทาวเวอร์ สร้างแล้วเสร็จจะมีความสูงแซงหน้าอาคารใบหยก 2 ที่มีความสูงอย่างเป็นทางการคือ 304 เมตร แต่ถ้านับรวมเสาอากาศด้วยก็จะเป็น 328 เมตร มีทั้งหมด 85 ชั้น ที่ขณะนี้เป็นอาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังสูงกว่าอาคารแฝดเปโตรนาส (Petronas Tower) กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ที่มีความสูง 452 เมตร มีจำนวนชั้นทั้งหมด 88 ชั้น ที่ขณะนี้มีความสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และครั้งหนึ่งเคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลกด้วยในช่วงปี 2541


THE SUPER TOWER ตั้งอยู่บนพื้นที่ 73 ไร่
บริเวณสี่แยกพระราม 9 จุดตัดถนนรัชดาภิเษก
เชื่อมต่อรถไฟฟ้าใต้ดิน


มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 1.2 ล้านตารางเมตร
รองรับคนได้สูงถึง 2-3 แสนคนต่อวัน
มูลค่าโครงการรวมกว่า 100,000 ล้านบาท


อาคาร นี้ มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2019 และจะกลายเป็นอาคารที่สูงที่สุดในอาเซียน และติดอันดับ 1 ใน 10 อาคารที่สูงที่สุดในโลก ประกอบไปด้วย สำนักงานระดับ Premium มีมาตรฐานสากล รองรับการใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง มีโรงแรมระดับ 6 ดาว พร้อมต้อนรับแขกระดับสูง และบุคคลสำคัญระดับโลก อีกทั้งยังมีห้องจัดเลี้ยง และศูนย์ประชุมที่มีความทันสมัย มีพื้นที่พลาซ่าเปิดโล่งรองรับกิจกรรมกลางแจ้งต่างๆ ได้มากมาย รวมถึงภัตตาคารลอยฟ้า มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และยังมีจุดชมวิวที่สูงที่สุดในประเทศไทยด้วย



“ผม เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเติบโตและขับ เคลื่อนไปข้างหน้า โครงการ The Super Tower จึงเป็นการตอบรับนโยบายของรัฐฯ ที่จะสร้างมิติใหม่ในการนำพาเศรษฐกิจไทย เติบโตขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาคนี้ พร้อมศักยภาพในการดึงดูดนักลงทุนทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนเป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศในการร่วมกันเป็นเจ้า ของตึกสูงนี้ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประชาคมอาเซียน และการท่องเที่ยวระดับโลกอีกด้วย” นายโยธินสรุป




โครงการ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 ประกอบด้วยรูปแบบโครงการต่างๆ คือ


1. โครงการที่พักอาศัยคอนโดมิเนียม เบ็ล แกรนด์ พระราม 9 ประกอบไปด้วยห้องชุดประมาณ 2,000 ยูนิต ในอาคารชุด 8 หลัง ที่ออกแบบภายใต้แนวคิด DIAMOND SHAPE DESIGN มีระดับความสูงแตกต่างกัน คือ 27 ชั้น, 34 ชั้น, 36 ชั้น และ 43 ชั้น แต่ละชั้นมีห้องชุดประมาณ 8-10 ยูนิต รวมพื้นที่โครงการประมาณ 350,000 ตารางเมตร เบ็ล แกรนด์ พระราม 9 คอนโดมิเนียมหรูที่มอบโลกส่วนตัวกว้างขวาง พร้อมขยายความสุขได้มากกว่า บนพื้นที่ 4 ไร่ ของสระว่ายน้ำและสวน ที่เดียวของการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ในศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (NEW CBD) มูลค่า 14,000 ล้านบาท ขายไปแล้ว 7 อาคาร เหลืออีก 1 อาคาร จำนวน 250 ยูนิต ระดับราคา 5-30 ล้านบาท หรือเริ่มต้นประมาณ 1 แสนบาท/ตร.ม.

2. จีแลนด์ ทาวเวอร์ อาคารสำนักงาน ประกอบด้วย ความสูง 26 ชั้น และ 36 ชั้นโดดเด่นด้วยการออกแบบที่ผสานองค์ประกอบศิลป์ ให้สอดคล้องกับการใช้งานได้อย่างลงตัว โดยมีพื้นที่ให้เช่าสำหรับสำนักงาน และร้านค้าบนพื้นที่โครงการมากกว่า 134,000 ตารางเมตร ตอบสนองทุกความต้องการของผู้เช่า ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพียบพร้อม ภายหลังจากเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ การก่อสร้างอาคารจีแลนด์ ทาวเวอร์ หรือ ตึกเอียงพระราม 9 ที่มีการก่อสร้างเป็นรูปตัว G ในรูปแบบเอียงแปลกตาว่า หวั่นจะเกิดอันตรายในอนาคต ทางโครงการก่อสร้างอาคารจีแลนด์ทาวเวอร์ ได้ออกมายืนยันความปลอดภัยแล้ว ว่าความเอียงของอาคารนั้น เป็นไปตามหลักการออกแบบและทดลองตามมาตรฐานทางวิศวกรรมแล้ว อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูง ซึ่งวงการก่อสร้างของโลก อาคารแคปิตอล เกต ในกรุงอาบูดาบี เมืองหลวงของสหรัฐอาหรับเอมิเรต ที่มีความลาดเอียง 18 องศา มีอาคารในลักษณะลาดเอียงเช่นเดียวกัน ส่วนอาคารของจีแลนด์ทาวเวอร์มีความลาดเอียงเพียง 8 องศาเท่านั้น การออกแบบให้มีความลาดเอียง 8 องศาในอาคารฝั่งทิศใต้ (South Tower) เพื่อให้เป็นตึกที่มีการออกแบบที่ทันสมัยและใช้หลักการก่อสร้างด้วยนวัต กรรมการก่อสร้างสมัยใหม่ ที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบและทดสอบในอุโมงค์ลม และผ่านขั้นตอนตรวจสอบอย่างเข้มงวด คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2558 ซึ่งยังไม่ได้เริ่มขายพื้นที่


3. เดอะ ไนน์ ทาวเวอร์ส เป็นอาคารสำนักงานสูง 36 ชั้น (ตึก A ) และ 34 ชั้น (ตึก B) แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและศูนย์กลางธุรกิจ บนพื้นที่โครงการประมาณ 130,000 ตารางเมตร เดอะไนน์ ทาวเวอร์ส เป็นอาคารสำนักงานให้เช่าที่เหมาะสำหรับธุรกิจทุกรูปแบบ มีพื้นที่ใช้สอยต่อชั้นกว้างขวาง เริ่มตั้งแต่ 1,550 ตารางเมตรในตึกเอ และตั้งแต่ 1,270 ตารางเมตรในตึกบี ด้วยการออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งความสูงจรดเพดาน 2.8 เมตร ทำให้สามารถปรับพื้นที่ให้ลงตัวกับธุรกิจทุกรูปแบบ เปิดให้บริการแล้ว 6 เดือน ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 90%


4. สำนักงานใหญ่ของยูนิลิเวอร์ เป็นอาคารสูง 12 ชั้น ที่ได้รับการออกแบบให้เป็นอาคารสำนักงานประหยัดพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ บนพื้นที่โครงการกว่า 46,000 ตารางเมตร และได้รับความไว้วางใจจาก "ยูนิลีเวอร์" บริษัทชั้นนำระดับโลก ใช้เป็นสำนักงานใหญ่ประจำประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ระยะเวลาเช่า 20 ปี อัตราค่าเช่า 650 บาท/ตารางเมตร/เดือน


5.เดอะ ช็อปปส์ แกรนด์ พระราม 9 เป็นช็อปปิ้ง อาเขต ชั้นใต้ดินของอาคารเดอะ ซูเปอร์ ทาวเวอร์ ที่ออกแบบให้ทุกอาคารทะลุถึงกันได้ จนถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพระราม 9 ซึ่งถือเป็นโครงการแรกของประเทศไทยที่มีการเชื่อมตึกใต้ดินเข้าหากันตั้งอยู่ในโครงการ นิวซีบีดี เดอะ แกรนด์ พระราม 9
(New CBD) บนพื้นที่ขนาด 73 ไร่ หรือ 1.2 ล้านตารางเมตร บนทำเลทองแห่งใหม่ ที่เปรียบเสมือนเพชรเม็ดงาม ใจกลาง
พระราม 9-รัชดาภิเษก เป็นศูนย์กลางธุรกิจแถวหน้าระดับประเทศ มีศักยภาพดึงดูดนักลงทุนทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ พร้อมรองรับการเปิดเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียน (AEC) อีกหนึ่งโครงการคุณภาพจาก
บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ G LAND

เดอะ ช็อปปส์ แกรนด์พระราม 9 ช้อปปิง พลาซ่า (Shopping Plaza) แนวคิดใหม่ เปลี่ยนพื้นที่บริเวณชั้นจี
และ 2 ของทุกอาคารภายในโครงการ นิวซีบีดี เดอะ แกรนด์ พระราม 9 ให้เป็นพื้นที่ค้าปลีกที่เชื่อมต่อกันทุกอาคาร ไปจนถึง
MRT พระราม 9 พร้อมสร้างปรากฏการณ์ช้อปปิ้ง ด้วยร้านค้าและบริการที่ตอบสนองความต้องการคนรุ่นใหม่ บนพื้นที่กว่า
35,000 ตารางเมตร โดยปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วที่คอนโดมิเนียม เบ็ล แกรนด์ พระราม9 (Belle Grand Rama 9)
และเร็วๆนี้ กำลังจะเปิดให้บริการที่อาคารสำนักงาน เดอะ ไนน์ ทาวเวอร์ส (The 9th Towers)

เดอะ ช็อปปส์ แกรนด์พระราม 9 ตอบ โจทย์ความต้องการผู้ พักอาศัยและกลุ่มคนทำงานภายในโครงการและรายรอบ ด้วยร้านอาหารเทรนดี้ , ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น, คลินิกผิวพรรณและความงาม, คลินิกสุขภาพ, สปา,ธนาคาร ,ของตกแต่งบ้าน ,ซูเปอร์มาร์เก็ตและศูนย์อาหารนานาชาติ, โซนการศึกษาและการเรียนรู้สำหรับเด็ก เดินทางสะดวกสบาย ด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) , รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ , ทางด่วนขั้นที่ 2 และถนน 3 เส้นทางหลัก ได้แก่ ถนนพระราม 9, ถนนรัชดาภิเษก และถนนทวีมิตร และยังอยู่ใกล้บริษัทและธุรกิจสำคัญ อาทิ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ,ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่, บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน), บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน), บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน), สถานทูตจีนประจำประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ
6.โรงแรมหรูระดับ 4 ดาว จำนวน 285 ห้อง รองรับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและทั่วโลก ภายในโรงแรมยังเปิดให้บริการเต็มรูปแบบด้วยบริการจัดเลี้ยงและห้องประชุม พร้อมภัตตาคารอาหารนานาชาติ สระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ ศูนย์สุขภาพครบวงจร โรงแรมตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 33,977 ตารางเมตร พร้อมเปิดให้บริการด้วยมาตรฐานระดับโลก มูลค่า 2,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเร็วๆ นี้


 7.เซ็นทรัล พลาซา แกรนด์ พระราม 9 ศูนย์การค้าและอาคารสำนักงาน บริหารจัดการโดย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) ซึ่งเป็นบริษัทสำหรับการพัฒนา ดูแลและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ทำให้ศูนย์การค้า เซ็นทรัล พลาซ่า แกรนด์ พระราม 9 เป็นศูนย์กลางความบันเทิงแบบครบวงจร ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ในการช้อปปิ้ง เพื่อตอบสนองสไตล์การใช้ชีวิต 'Work & Play' ของคนเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งกลุ่มจีแลนด์ก่อสร้างแล้วเสร็จ และโอนให้กับกลุ่มซีพีเอ็น โดยให้ซีพีเอ็นเช่าที่ดิน 30 ปี บวก 10 ปี และ

คาดว่าทั้งโครงการ
จะถึงจุดคุ้มทุนภายใน 12 ปี


ขอบคุณข้อมูลจาก: buildernews.in.th, grandcanalland.com,wikipedia, manager.co.th,schoenfeldfoundation.org

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คอนโด..รัชดา มีอะไรดีควรค่าแก่การลงทุน

"สำหรับ ด้านที่อยู่อาศัยบนถนนรัชดาฯ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ได้ทำการสำรวจเมื่อปลายปีที่ผ่านมา (2555) พบว่า ย่านรัชดาภิเษก-ลาดพร้าว เป็นทำเลที่มีโครงการอาคารชุดจำนวนมาก และในอนาคตจะกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ เนื่องจากกำลังมีการก่อสร้างที่ตั้งของหน่วยงาน และธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บริษัทประกันชีวิตรายใหญ่ บริษัทจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีชื่อเสียง และยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่เปิดทำการแล้ว อีกทั้งจะมีการพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ คือ มักกะสันคอมเพล็กซ์ ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้เกิดแหล่งงานขนาดใหญ่ ดึงดูดผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทอาคารชุดคอนโดมิเนียม"

ที่มา: เว็บไซต์ผู้จัดการ ปี 2556

รัชดาฯ - พระราม 9 ทำเลยอดฮิต


เมื่อ นึกถึงอสังหาประเภทคอนโดมิเนียม เห็นได้จากโครงการคอนโดมิเนียมจำนวนมากที่เรียงตัวตามแนวรถไฟฟ้า ด้วยข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ทำเลดีๆ ในเมืองหลวงปัจจุบันค่อนข้างหายากขึ้นทุกที ที่มีก็ราคาแสนแพง(เว่อร์) เมื่อประเมินและวิเคราะห์ ด้านต่างๆ แล้วผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่คุ้มค่าในการลงทุน แต่สำหรับโซนนี้ยังมีที่ดินดีๆ เหลือให้ได้พัฒนา เป็นอะไรได้มากพอสมควร และโอกาสที่ในอนาคตดินแดนแห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประชาคมอา เซียน (AEC) ก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม

สำหรับโซนรัชดาฯ - พระราม 9 เมื่อมองสถิติ ปี 2557 มีจำนวนคอนโดเปิดใหม่ในโซนรัชดาฯ - พระราม 9 รวม 13 โครงการ ราคาเริ่มต้นเฉลี่ย ณ วันเปิดตัว 76,292 บาท ต่อตารางเมตร และในปี 2557 มีจำนวนคอนโดใหม่เปิดตัว 7 โครงการ ราคาเริ่มต้นเฉลี่ย ณ วันเปิดตัว 76,292 บาท จะเห็นว่าปี 2557 ที่ผ่านมามีการลงทุนก่อสร้างคอนโดย่านรัชดาเปิดใหม่ลดลงมาก เมื่อเทียบกับปี 2556 ไม่ต่างจากการลงทุนเปิดคอนโดในโซนอื่นที่ลดลงในระดับเดียวกัน เนื่องจากมีการพัฒนาสินค้าออกสู่ตลาดจำนวนมาก จนในบางทำเลซัปพลายล้น อัตราการขายชะลอตัว มีการแข่งขันสูง ในขณะที่ราคาที่ดินที่จะนำมาพัฒนามีราคาสูงมากจนไม่สามารถที่จะพัฒนาห้องชุด ออกมาในราคาที่ตลาดรับได้ ทั้งการขาดแคลนผู้รับเหมา และอาจจะได้รับผลกระทบอื่นๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

ลองวิเคราะห์ SWOT คอนโดรัชดา ปี 2558

Strengths (จุดแข็ง)

  • ราคา คอนโดยังอยู่ในระดับที่ไม่แรงมากเหมือนโซนอื่นๆ เช่น สุขุมวิท และโดยระดับราคาแม้จะขยับขึ้นไป ก็ยังอยู่ในระดับราคาที่ลงทุนเพื่อให้มีผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคต

  • มีสำนักงานออฟฟิศ โรงแรม แหล่งช็อปปิ้ง ค่าครองชีพไม่สูงนักเมื่อเทียบกับย่านธุรกิจอื่นๆ

  • นักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศในแถบเอเชียนิยม (โดยเฉพาะชาวจีน และประเทศอื่นในอนาคตเมื่อมีการเปิด AEC อย่างเป็นทางการในปลายปีนี้)

Weakness (จุดอ่อน)

  • ด้วยลักษณะทางกายภาพ และสภาพแวดล้อม เช่น ซอยแคบ (บางซอย) หรือขึ้นชื่อเรื่องเป็นแหล่งรวมของสถานบันเทิงยามราตรี

  • ติดที่ดินเปล่าของการรถไฟฯ

Opportunities (โอกาส)

  • สี่แยกรัชดา-พระราม 9 ได้รับการจับตาว่าจะเป็น CBD (Central Business District) แห่งใหม่

  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยย้ายมาถนนรัชดาฯ

  • โครงการ "The Super Tower" ติดอันดับ 1 ใน 10 อาคารที่สูงที่สุดในอาเซียน โดยโครงการอยู่ตรงบริเวณสี่แยกพระราม 9 จุดตัดถนนรัชดาภิเษก รองรับคนได้สูงถึง 2-3 แสนคนต่อวัน มุ่งหวังจะให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประชาคมอาเซียน (AEC)

  • โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และรถไฟฟ้าสายสีส้มวิ่งตัดผ่าน ถนนรัชดาภิเษก

  • ยัง มีแปลงที่ดินขนาดใหญ่ที่พร้อมจะนำมาพัฒนาได้อีกจำนวนมาก หากมีการพัฒนาเป็นสำนักงานออฟฟิศ หรือศูนย์การค้า ก็จะทำให้คอนโดมิเนียนมีราคาสูงขึ้น

Threats (อุปสรรค)

  • สภาพ แวดล้อม และระดับค่าครองชีพ ที่มีความใกล้เคียงกับโซนอื่นที่มีระยะห่างจากจุดศูนย์กลางกรุงเทพในระดับ ใกล้เคียงกัน และรถไฟฟ้าตัดผ่าน ทำให้มีจำนวนคู่แข่งจำนวนมาก

  • หากที่ดินเปล่าถูกพัฒนาเป็นคอนโดแทนศูนย์การค้าหรืออาคารสำนักงาน อาจทำให้ Oversupply

วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รถไฟฟ้าดันที่ดินรัชดาฯพุ่ง 'พระราม9-ลาดพร้าว' ขยาย100%

กูรูอสังหาฯ แนะจับตาที่ดินย่านรัชดาฯ อนาคตสุขุมวิท คาดโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มดันที่ดินพุ่งกว่า 1 ล้านบาทต่อตร.ว. ส่งผลราคาขายคอนโดฯทะยานสู่ 1.8 แสนบาทต่อตร.ม. แย้มพื้นที่พระราม9-ลาดพร้าว จะมีอัตราการขยายตัวกว่า 100% ด้าน คอลลิเออร์ส เปิดตัวเลขที่อยู่อาศัยย่านรัชดาฯ พบยูนิตเหลือขาย 2.8 พันหน่วย ราคาขายเฉลี่ยกว่า 1 แสนบาทต่อตร.ม.

นาย วสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโมเดิร์นพร็อพเพอร์ตี้  คอนซัลแตนท์ จำกัด เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากแผนการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ส่งผลให้ราคาที่ดินที่โครงการรถไฟฟ้าพาดผ่านขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งราคาขายอสังหาริมทรัพย์ก็สูงขึ้นเช่นเดียวกัน โดยพื้นที่ที่น่าจับตามองในขณะนี้คือ พื้นที่ รัชดาฯ ซึ่งได้รับการกล่าวขานว่าเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ (ซีบีดี) เนื่องจากมีอาคารสำนักงานเกิดใหม่จำนวนมาก อาทิ เอไอเอ แคปปิตอล ,จีแลนด์ ทาวน์เวอร์ ฯลฯ ทำให้มีบรรดาดีเวลอปเปอร์เข้าไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก เพื่อรองรับความต้องการในอนาคตที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ในอนาคตพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นเส้นทางเดินรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) ซึ่งจะยิ่งทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพมากขึ้น และจะทำให้ที่ดินเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันราคาขายอยู่ที่ประมาณ 5-6 แสนบาทต่อตร.ว. และในอนาคตหากโครงการต่างๆแล้วเสร็จราคาขายที่ดินก็จะมากกว่า 1 ล้านบาทต่อตร.ว. และเมื่อนำมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยก็จะต้องพัฒนาโครงการที่มีราคาขาย มากกกว่า 1.8 แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งเป็นราคาขายใกล้เคียงกับสุขุมวิท
"หากผู้ประกอบการซื้อที่ดินมาในราคา 1 ล้านบาทต่อตร.ว. คิดเป็นมูลค่า 400 ล้านบาทต่อไร่ แต่ผู้ประกอบการสามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยได้ 7 เท่าของแปลงที่ดิน ตามผังเมืองกทม.ที่จัดสรรให้พื้นที่รัชดาฯอยู่ใน ย.9 คือที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก ดังนั้นที่ดินขนาด 1 ไร่ หากพัฒนาเต็มพื้นที่จะได้ 1.6 พันตร.ม. แต่ในความเป็นจริงสร้างได้เพียง 1.12 หมื่นตร.ม.ตามกฎผังเมือง ซึ่งเมื่อหักพื้นที่ส่วนกลางแล้ว จะเหลือเป็นพื้นที่ขายจริงเพียง 5.6 พันตร.ม. และเมื่อนำราคาขายที่ดินต่อไร่มาหารกับพื้นที่ขายจริง ผู้ประกอบการจะต้องขายในราคาต้นทุนที่ 7.1 หมื่นบาทต่อตร.ม. แต่เมื่อบวกกับค่าก่อสร้างอีก 2.5 หมื่นบาทตร.ม.และค่าดำเนินการอื่นๆ อีกปะมาณ 10% ก็จะทำให้ผู้ประกอบการต้องขายในราคา 1.8 แสนบาทต่อตร.ม. ซึ่งขณะนี้ราคาขายจริงในตลาดก็กว่า 1 แสนบาทต่อตร.ม.แล้ว ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตพื้นที่ย่านรัชดาฯจะมีคอนโดมิเนียมราคาขาย มากกว่า 1.8 แสนบาทต่อตร.ม.เกิดขึ้นอย่างแน่นอน" นายวสันต์ กล่าวและว่า
สำหรับพื้นที่ที่จะมีการขยายตัวของราคาที่ดินมากกว่า 100% ได้แก่ พระราม 9 และลาดพร้าว ซึ่งได้รับอานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้า ซึ่งการขยายตัวของราคาที่ดินที่สูงมีพื้นฐานมาจากราคาที่ดินที่ไม่มีการขยับ ตัวมาเป็นเวลานาน
โดยปัจจัยที่จะส่งผลให้ราคาที่ดินและความต้องการที่อยู่อาศัยประเภท คอนโดมิเนียมเพิ่มสูงขึ้นประกอบด้วย 1.รถไฟฟ้า 2.รถไฟฟ้าสายที่ผ่าน สามารถเดินทางเข้าสู่แหล่งธุรกิจได้สะดวกและรวดเร็ว 3.รถไฟฟ้าต้องผ่านแหล่งชุมชน ซึ่งเมื่อราคาที่ดินแพง จนไม่สามารถพัฒนาโครงการแนวราบได้ ผู้บริโภคก็จะมองหาที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคยังยึดติดกับแหล่งที่อยู่อาศัยเดิม
"หากพิจารณาตามปัจจัยต่างๆในเบื้องต้นก็จะพบว่า รถไฟฟ้าไม่ได้ส่งผลให้ราคาที่ดินที่มีรถไฟฟ้าทุกสายขยับขึ้นหรือมี คอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากนัก เช่น สายสีเขียว (เกษตรฯ-สะพานใหม่) ที่ราคาที่ดินขยับขึ้นไม่มาก และไม่ค่อยมีโครงการคอนโดมิเนียมมากนัก เนื่องจากการเดินทางเข้าสู่ใจกลางธุรกิจใช้เวลานาน"
ด้าน นายสุรเชษฐ กองชีพ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมบนถนนรัชดาภิเษกที่เปิด ขายตั้งแต่ปี 2554 - 2557 พบว่า มีโครงการในตลาดทั้งหมดจำนวน 1.26 หน่วย โดยเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ใน 4 สถานีหลักได้แก่ สถานีศูนย์วัฒนธรรม , สถานีห้วยขวาง ,สถานีพระราม 9 และสถานีสุทธิสาร รัศมีไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากสถานีรถไฟใต้ดิน รวมจำนวน 1.21 หมื่นหน่วย คิดเป็นอัตราการดูดซับ 78% มีหน่วยเหลือขาย 2.8 พันหน่วย ราคาขายเฉลี่ยที่ประมาณ 1.05 แสนบาทต่อตร.ม.
"ทำเลรัชดาฯ ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีศักยภาพ เนื่องจากมีอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ รวมทั้งมีรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และในอนาคตจะมีสายสีส้มผ่าน"  นายสุรเชษฐ กล่าว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3,028  วันที่  19-21  กุมถาพันธ์  พ.ศ. 2558

ค้นหาอสังหา ซื้อถูก เพื่ออยู่ หรือ เพื่อ..ขายแพง

หากกำลังมองหาอสังหาริมทรัพย์ ข้อมูลพื้นฐานแรกที่คนส่วนใหญ่จะพิจารณาเป็นอันดับแรกๆ นอกจากทำเล คงหนีไม่พ้นเรื่อง "ราคา" ก็จะเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยชี้ขาดว่าจะตัดสินใจเลือกบ้าน ที่ดิน คอนโด หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ไม่ว่าจะเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือเพื่อการลงทุน หรือทั้งสองอย่าง

ปัจจัยเรื่อง "ราคา" มักจะสัมพันธ์กับ "ทำเล" ที่ตั้งของโครงการ เมื่อเจ้าของโครงการคิดว่าตัวเองมีจุดแข็งที่ดีพอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเลที่ตั้งของโครงการ หรือความโดดเด่นของบางโครงการในด้านต่างๆ ที่จะนำมาใช้เป็นข้อได้เปรียบ หรือชดเชยความเสียเปรียบ เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการของคู่แข่งทั้งทางตรง และทางอ้อม ทั้งเรื่องต้นทุนของโครงการในแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน ทำให้บางโครงการอาจจะตั้งราคาไว้ค่อนข้างสูง ในขณะที่โครงการขนาดเล็กหรือเสียเปรียบแม้ว่าจะหาวิธีชดเชยอย่างไร สุดท้ายก็อาจจะต้องใช้กลยุทธ์เรื่อง "ราคา" ซึ่งกลายเป็นทางเลือกสำหรับผู้ซื้อ

ในมุมของผู้ที่กำลังจะจับจองอสัง หาฯ มาเก็บไว้ในสต๊อกสโตร์ส่วนตัว หรือเพื่อการลงทุน คงมีมุมมองและเงื่อนไขในการเลือกที่เป็นแบบเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล ขณะที่บางคนมองว่าซื้อแพงทำเลหรูดีกว่าไม่ต้องรอนานประเดี๋ยวเดียวราคาก็ พุ่งกระฉูด จะขายต่อหรือจะปล่อยเช่าก็คืนทุนเร็ว หรืออาจจะด้วยเหตุผลอื่น แต่บางทีก็ไม่เร็วดั่งใจนึกเพราะต้องไม่ลืมว่าซื้อมา "แพง" ถึงแม้จะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง แต่ต้นทุนของโครงการก็ค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้จาก มูลค่าปัจจุบันสุทธิทางเศรษฐศาสตร์ของโครงการมีค่าค่อนข้างสูง แต่เมื่อวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ กลับมีสัดส่วนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าปัจจุบันสุทธิที่ได้รับ ทำให้เห็นว่าหากโครงการได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้ต้นทุนของ โครงการเพิ่มสูงขึ้นอีก หรือทำให้ผลตอบแทนลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก็อาจทำให้โครงการไม่มีความคุ้มค่า ในการลงทุน ในขณะที่บางคนอาจจะมองว่าซื้อถูกเข้าว่าทำเลไม่เลวร้ายเกินไปก็รับได้ เพื่อจะเหลือเงินไว้ทำอะไรได้อีกมากมาย หรืออาจจะซื้อเพิ่มอีกแห่งเพื่อกระจายความเสี่ยงที่จะได้รับอัตราผลตอบแทน ที่แตกต่างกันในแต่ละระดับ

ทำเลดี..ราคาไม่แพง


น่าจะเป็นจุดร่วมของแนวคิดทั้งสองแบบข้างต้น สำหรับบางคนอาจจะเป็นสุดยอดของหลักการในการหาอสังหามาครอบครองไม่ว่าจะเป็น บ้าน ที่ดิน คอนโด จะเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือจะเป็นการลงทุนไว้สร้างผลตอบแทนในอนาคตระยะสั้นหรือระยะยาว ยังไงก็คุ้มค่าจะมองยังไงก็ดูดีไปเสียหมด แต่จะหาจากที่ไหน "ของดีราคาถูก"

"อสังหาที่ ยังไม่สร้าง" หากซื้ออสังหาที่สร้างเสร็จแล้วจะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอาจจะมากถึง 20% เลยทีเดียว เพราะส่วนใหญ่หลายๆ โครงการที่มีการวางกลยุทธ์การจัดการที่ดี มักจะขายหมดก่อนที่โครงการจะเปิดตัวด้วยซ้ำเพราะ "ราคาต่ำกว่าราคาตลาด" บางคนอาจจะซื้อไว้อยู่อาศัยเอง แต่ก็มีอีกหลายคนที่เป็นนักลงทุนที่มุ่งหวังทำฟลิปปิ้ง ซื้อเพื่อนำมาขายต่อเป็นทอดๆ ให้กับผู้ที่สนใจซื้ออสังหาเพื่ออยู่อาศัย หรือลงทุน เพื่อทำกำไรระยะสั้น และก็ยังคงมีผู้ที่สนใจทำฟลิปปิ้งที่มาช้าอยู่ในทุกขั้นตอนจนโครงการก่อ สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตราบเท่าที่ราคาของอสังหานั้นยังต่ำกว่าราคาในตลาด

สำหรับ บางคนจะกลัวว่าซื้อแล้วต้องนั่งลุ้นว่าโครงการจะสร้างเสร็จหรือไม่ โดยปกติแล้วเจ้าของโครงการมักจะมองระยะยาว แต่ละโครงการจะสร้างผลตอบแทนให้กับเจ้าของโครงการเป็นเม็ดเงินมหาศาล และผลกำไรดังกล่าวหมายถึงทุนสำรองที่จะดำเนินโครงการอื่นๆ ที่จะสร้างผลกำไรต่อไปอีก ดังนั้นแต่ละบริษัทที่เป็นผู้รับผิดชอบโครงการย่อมจะให้ความสำคัญกับชื่อ เสียงและความเชื่อมั่นมากกว่าสิ่งอื่นใด เพราะนั่นคือสิ่งที่รับประกันโครงการในอนาคตที่บริษัทจะสามารถขายจนหมด โครงการก่อนกำหนดวันเปิดตัวโครงการด้วยเช่นกัน รวมถึงความพยายามจะควบคุมการก่อสร้างให้เป็นไปตามระยะเวลาตามกำหนด เพราะหากการก่อสร้างล่าช้าออกไปเท่าใด จะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย และการประมาณการกระแสเงินสดของโครงการจะเปลี่ยนไป ส่งผลให้ผลกำไรสุทธิที่ได้รับจากโครงการลดน้อยลงไปจนอาจไม่คุ้มค่ากับการลง ทุน


วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ธอส.ขอปรับนิยามรายได้ลูกค้า-ขยับฐานปล่อยกู้ 2.5 ล้าน

ธอส.หาช่องเพิ่มฐานลูกค้าระดับกลาง หารือกระทรวงการคลังขอปรับนิยามผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง จากกลุ่มกู้ซื้อบ้านไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เพิ่มเป็นไม่เกิน 2-2.5 ล้านบาท รับมือราคาบ้านในกรุงเทพฯยิ่งนับวันยิ่งแพง ปลื้มยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ปีཱུ ดีเกินคาด ปีนี้ตั้งเป้า 1.4 แสนล้านบาท กำไร 9.3 พันล้านเศษ

นางอังคณา ปิลันธน์โอวาท ไชยมนัส กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส.เตรียมหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอปรับนิยามผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง จากปัจจุบันเป็นกลุ่มที่มีวงเงินปล่อยกู้ซื้อบ้านต่อรายไม่เกิน 1.5 ล้านบาท จะเสนอปรับเป็นไม่เกินรายละ 2-2.5 ล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันหาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ราคายูนิตละต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ได้ค่อนข้างยากแล้ว ดังนั้น ธอส.ต้องวางแผนเพื่อหาทางขยายฐานลูกค้ากลุ่มอื่น ๆ เพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันฐานลูกค้าหลักของ ธอส.ยังเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง ปีที่ผ่านมามีสัดส่วนการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ากลุ่มนี้ 46.6% คิดเป็นจำนวน 6.65 หมื่นล้านบาท ส่วนกลุ่มที่กู้ซื้อบ้านตั้งแต่ 1.5-2.5 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 30% ยังมีโอกาสขยายได้อีก

นางอังคณากล่าวต่อว่า สำหรับปีที่ผ่านมาตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ 134,000 ล้านบาท แต่สามารถทำผลงานได้ 142,697 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็นลูกค้ากรุงเทพฯ 30% และต่างจังหวัด 70% มียอดสินเชื่อคงค้างรวมกว่า 794,305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% มีเอ็นพีแอลหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กว่า 42,613 ล้านบาท คิดเป็น 5.3% ของมูลค่าสินเชื่อรวม ลดลงจากปี 2556 อยู่ที่ 6.1% และมีอัตราลูกค้ากู้ไม่ผ่านเพียง 0.6% เนื่องจากมีนโยบายให้แต่ละสาขาดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด

"ที่อัตราลูกค้ากู้ไม่ผ่านต่ำมาก เพราะธนาคารใช้วิธีให้สาขาทำพรีแอปโพรชลูกค้าก่อน ให้คำแนะนำทั้งเรื่องการเตรียมเอกสารและโอกาสจะกู้ผ่าน ก่อนจะส่งมาให้สำนักงานใหญ่เป็นผู้พิจารณาอนุมัติ อย่างไรก็ตามยังคงพิจารณาสินเชื่อด้วยความรัดกุม เห็นได้จากอัตราเอ็นพีแอลที่ลดลง"

ส่วนปี 2558 ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อใหม่ 140,700 ล้านบาท สินเชื่อคงค้าง 835,067 ล้านบาท เติบโต 6.6% และมีกำไรสุทธิ 9,304 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม อาจพิจารณาทบทวนเป้าหมายปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจปีนี้

ขณะที่กลยุทธ์ธนาคารในปี 2558 ได้วางยุทธศาสตร์ 5 ข้อ ได้แก่ 1)การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เน้นเรื่องการใช้เทคโนโลยี บริหารต้นทุน และเพิ่มคุณภาพสินทรัพย์ 2)การมีส่วนร่วมกับลูกค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจ 3)มุ่งสร้างนวัตกรรมทางการเงินและบริการ โดยไตรมาสแรกปีนี้คาดว่าจะมีแคมเปญสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยพิเศษออกมาอีก 1 แคมเปญ ขณะนี้อยู่ระหว่างหารือ 4)ให้ความสำคัญกับเรื่องธรรมาภิบาล และ 5)การพัฒนาบุคลากรเพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทน

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1422853396

ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ 2558




เพราะ “บ้าน” หรือ “ที่อยู่อาศัย” คือ 1 ในปัจจัย 4 ที่ถูกระบุไว้ว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะยาก ดี มี จนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงถือเป็นดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญในประเทศ นอกจากจะเป็นเครื่องวัดความเป็นอยู่ที่ดี จากกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทั้งบ้าน ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียมแล้ว

การลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า โรงแรม หรือคอนโดมิเนียมหรูหราระดับลักชัวรี่ ยังถือเป็นยากระตุ้นการลงทุนชั้นดี สร้างงาน สร้างเงิน สร้างรายได้ ช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจหมุนเวียน

ในโอกาสเปิดศักราชปี 2558 ซึ่งถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงและการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ จากหลากหลายนโยบายและสิ่งที่จะเกิดขึ้น อันก่อให้เกิดพลวัตที่รุนแรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้

ไม่ว่าจะเป็นการผ่านร่าง พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนร่าง พ.ร.บ. ภาษีมรดก, การเดินเครื่องอภิมหาโปรเจกต์รถไฟฟ้า 10 สาย ซึ่งไม่ว่าจะตัดผ่านบ้านใคร ก็กลายเป็นส้มหล่นใส่โครมใหญ่, การเปิดตัวโครงการรถไฟทางคู่ร่วมกับประเทศจีนและญี่ปุ่น ไปจนถึงการเปิดประตูสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ปลายปีนี้ทิศทางของอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีแพะ จะสดใสสวยงามเพียงไร โปรดรับฟังมุมมองของผู้เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้.....
สัมมา คีตสิน
ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2558 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่คาดการณ์ว่าปี 2558 จะเติบโตได้ดีกว่าปี 2557 ซึ่งปัจจัยบวกที่จะมาเป็นตัวกระตุ้นให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นกลับมาเป็นขา ขึ้นอีกครั้ง ก็คงมาจากการเร่งรัดโครงการขนส่งมวลชนระบบรางและการตัดถนนสายใหม่ๆในพื้นที่ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และภูมิภาค

ทั้งนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่อยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เช่น อาคารสำนักงาน, ห้างสรรพสินค้าและโรงแรม จะได้รับอานิสงส์จากเส้นทางรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ เช่น สายสีม่วง สีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายบีทีเอสไปสมุทรปราการ ส่วนเส้นทางของโครงการที่อยู่ในขั้นเริ่มต้นและยังไม่มีการก่อสร้างจริงจะ ไม่ส่งผลมากนัก

“ราคาที่ดินมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในทุกเส้นทางของรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เพราะความต้องการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าที่ออกไปสู่ปริมณฑลเหล่านี้ยังมี อยู่มาก เนื่องจากผู้มีรายได้ปานกลางหรือต่ำไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่ชั้น ในของกรุงเทพฯได้”

สำหรับภาคเอกชน การขยายตัวของกลุ่มห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ ก็จะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดนั้นๆได้รับประโยชน์ โดยที่ดินโดยรอบบริเวณใกล้ห้างสรรพสินค้าจะมีราคาแพงขึ้น ทำให้มีโอกาสเกิดโครงการคอนโดมิเนียมหรือบ้านจัดสรรระดับตลาดบน ในบริเวณใกล้ห้างสรรพสินค้า

สิ่งสำคัญอีกประการที่จะมีผลต่อ ภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปีนี้ คือการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในช่วงปลายปี 2558 โดยคาดว่าอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์จะได้ประโยชน์จากเออีซีมากกว่า อสังหาริมทรัพย์ภาคที่อยู่อาศัย อาทิ จะมีความต้องการพื้นที่อาคารสำนักงานมากขึ้น พื้นที่จัดตั้งนิคมหรือโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้น ห้างสรรพสินค้าและโรงแรมรองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น ส่วนในด้านที่อยู่อาศัยจะได้ประโยชน์เฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากต่างชาติสามารถซื้อเป็นกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ได้

ส่วนแนวโน้มรูปแบบที่อยู่อาศัยในปีนี้ ผู้ประกอบการยังคงเน้นเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นในพื้นที่ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมา ยอดเปิดขายหน่วยคอนโดมิเนียมใหม่แซงหน้าบ้านจัดสรรทุกปีในพื้นที่ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ส่วนในต่างจังหวัด ยอดเปิดขายใหม่ส่วนใหญ่ยังเป็นบ้านจัดสรรมากกว่า

สำหรับพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค คาดว่าจะเน้นเรื่องราคาเป็นหลัก โดยคุณภาพเป็นไปตามระดับราคา ทั้งนี้ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีกำลังซื้อที่ประมาณไม่เกิน 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ซึ่งหมายถึงตลาดส่วนใหญ่ยังเป็นคอนโดมิเนียมหรือทาวน์เฮาส์ “ในปีนี้ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างอาจไม่เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนที่ดินยังคงแพงขึ้น ดังนั้นราคาที่อยู่อาศัยยังคงปรับเพิ่มขึ้นโดยภาพรวม แต่จะปรับเพิ่มขึ้นไม่ได้มากนัก เนื่องจากมีอุปทาน (กำลังการผลิต) ออกใหม่ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความคาดหวังในอนาคตที่ดีขึ้น แม้จะมีการชะลอการเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 แต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2557 ผู้ประกอบการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น โดยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมีการเปิดขายหน่วยคอนโดมิเนียมใหม่มากกว่า 70,000 หน่วย และบ้านจัดสรรประมาณ 44,000 หน่วย ตลอดทั้งปี 2557 และสำหรับในปี 2558 ผู้ประกอบการทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัดยังมีแผนเปิดโครงการมาก ขึ้นแน่นอน
เลอศักดิ์ จุลเทศ
รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)

ปีนี้ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ไทยน่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากมีความชัดเจนจากนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นการเบิกใช้งบประมาณของ ภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องของระบบขนส่งต่างๆ ไม่ว่าเรื่องประกาศแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รวมถึงความชัดเจนเรื่องการเซ็นสัญญาบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) กับประเทศจีน ในโครงการรถไฟทางคู่ 2 สาย หนองคาย-มาบตาพุด และ สระบุรี (แก่งคอย)-กรุงเทพฯ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนการที่จะดึงประเทศญี่ปุ่นมาร่วมโปรเจกต์รถไฟทางคู่สายใหม่ 3 สาย เชื่อมต่อภาคตะวันตก-ตะวันออก คือ ตาก-มุกดาหาร ระยอง-ทวาย ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้จะส่งผลให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตควบคู่กับระบบ คมนาคมต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นมากขึ้น ส่งผลให้จีดีพี ปี 2558 สูงกว่าปีก่อนแน่นอน

“ปีนี้การพัฒนาโครงการของภาครัฐ ที่ส่งผลโดยตรงต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คือการพัฒนาด้านระบบขนส่งมวลชน (Mass Transit) โดยทำเลที่มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น ยังคงเป็นทำเลที่มีการก่อสร้างรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายที่มีการเปิดประมูลในปี 2558 อาทิ สายสีม่วง (บางใหญ่–บางซื่อ), สายสีเขียว (หมอชิต–คูคต), สายสีส้ม (ตลิ่งชัน–ศูนย์วัฒนธรรม–มีนบุรี), สายสีชมพู (แคราย–ปากเกร็ด–มีนบุรี) และสายสีเหลือง (ลาดพร้าว–พัฒนาการ–สำโรง) ซึ่งจะส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น”

อีกทั้งทำเลที่อยู่ย่านใจกลางเมือง ใกล้แนวการก่อสร้างรถไฟฟ้า ก็มีราคาที่ดินปรับตัวขึ้นสูงมาก และบางพื้นที่มีข้อจำกัดเรื่องขนาดของถนน โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยกลางเมือง ส่งผลให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองบริเวณเหล่านี้จะมีราคาแพง และเป็นที่อยู่อาศัยในระดับ “ลักชัวรี่” เป็นส่วนใหญ่

“ปีนี้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ โครงการแนวดิ่ง (คอนโดมิเนียม) ยังมีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง แต่ผู้ประกอบการแต่ละรายต้องมีจุดขายที่แตกต่างของตัวเอง ด้านพฤกษาเอง เนื่องจากปีที่ผ่านมามีรายได้จากแนวดิ่งประมาณ 20% หากมองไปที่ยอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) ปี 2558 ที่มีอยู่ประมาณ 16,000 ล้านบาท คาดว่าอาจจะทำให้มีสัดส่วนรายได้จากแนวดิ่งเพิ่มขึ้นถึง 30% ซึ่งเป็นการทยอยปรับฐานรายได้ให้สอดคล้องกับตลาดในภาพรวม ที่แนวดิ่งมีสัดส่วนตลาดที่สูงกว่าแนวราบ”

สำหรับแนวโน้มรูปแบบที่อยู่อาศัยในปีนี้ กรุงเทพและปริมณฑลคาดว่าคอนโดมิเนียมยังเป็นที่นิยมและจะมีสัดส่วนสูงสุด รองมาคือบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ตามลำดับ โดยการเลือกตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคยังคงเน้นการพิจารณาจากปัจจัยหลายๆด้าน รวมทั้งชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ ราคา ดีไซน์ ทำเล รวมถึงคุณภาพงานด้วย

ส่วนของต่างจังหวัด จังหวัดที่จะมีการเติบโตและเหมาะกับการลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัย ยังคงเป็นจังหวัดที่มีแหล่งงานขนาดใหญ่ อาทิ ชลบุรี, ระยอง, ขอนแก่น และเชียงใหม่ และจังหวัดที่มีโครงการพัฒนาโครงข่ายคมนาคม เช่น รถไฟทางคู่ ซึ่งจะมีการเวนคืนที่ดินในปี 2558 ยังคงเป็นจังหวัดที่น่าจับตามอง ไม่ว่าจะเป็น นครปฐม, นครราชสีมา, ประจวบคีรีขันธ์ และลพบุรี เป็นต้น

โดยปัจจัยที่จะเลือกลงทุนในต่างจังหวัดนั้น ประกอบด้วย ปัจจัยด้านการเติบโตของเศรษฐกิจในจังหวัด รายได้ประชากร, นโยบายภาครัฐ, ปริมาณแรงงาน และปริมาณประชากร ตลอดจนปัจจัยพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง และราคาที่ดิน โดยการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด กลุ่มเป้าหมายต้องชัดเจนและราคาจะต้องอยู่ในช่วงที่กำลังซื้อส่วนใหญ่สามารถ ซื้อได้ “การเปิดเออีซี ในช่วงปลายปี 2558 นี้ จะส่งผลให้จังหวัดเศรษฐกิจพิเศษและจังหวัดการค้าชายแดน เพิ่มความน่าสนใจ เนื่องจากการค้าขายทั้งค้าปลีกและค้าส่งจะคึกคัก รายได้ประชากรจะเพิ่มขึ้น ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย”
ชาติชาย พยุหนาวีชัย
ประธานที่ปรึกษาสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย

สินเชื่อที่อยู่อาศัยในปีนี้ ยังเป็นปีที่ยากลำบากต่อเนื่องจากปี 2557 ที่ผ่านมา และความยากลำบากจะยืดยาวไปถึงปี 2559 ยอดการปล่อยสินเชื่อบ้านใหม่ ทั้งระบบยังทรงตัวอยู่ที่ปีละ 400,000-500,000 ล้านบาท ยอดเพิ่มขึ้นสุทธิ 200,000 ล้านบาท โดยยอดสินเชื่อบ้านทั้งระบบในปี 2556 อยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท จบปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 2.7 ล้านล้านบาท และสิ้นปี 2558 อยู่ที่ 2.9 ล้านล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 8-9%

ทั้งนี้ตลาดสินเชื่อบ้าน ในช่วง 2-3 ปีย้อนหลัง อัตราการเติบโตส่วนใหญ่มาจากตลาดต่างจังหวัด ส่วนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล การเติบโตค่อนข้างคงที่ มียอดขายอยู่ในระดับ 100,000 ยูนิต แต่เมื่อราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ส่งผลให้บรรดานักธุรกิจ หรือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ในต่างจังหวัดมีรายได้ลดลง ยอดขายที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบ้าน ที่มาจากต่างจังหวัดลดลงไปด้วย

“ช่วง 2–3 ปีก่อนหน้า ต้องยอมรับว่ายอดสินเชื่อบ้านทั้งระบบมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก กำลังซื้อมาจากต่างจังหวัด ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ๆ ไปเปิดโครงการในต่างจังหวัด สินเชื่อบ้านในต่างจังหวัดจึงบูมมาก แต่เมื่อราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ กำลังซื้อในต่างจังหวัดก็หายไป”

สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ตลอดทั้งปี 2557 ที่ชะลอตัวลง จะมีผลกระทบต่อตลาดสินเชื่อบ้านในช่วงปี 2559 เนื่องจากปกติคอนโดมิเนียม จะใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปี และเมื่อสร้างเสร็จจึงจะเริ่มโอน และมาใช้บริการสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ดังนั้นในปี 2558 ยังเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับโครงการคอนโดมิเนียมเก่า ที่ก่อสร้างเสร็จและเริ่มทยอยโอนให้กับลูกค้า

ในปีนี้จนถึงปีหน้า (2559) ตลาดคอนโดมิเนียมจะไม่หวือหวาเหมือนช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพราะราคาคอนโดมิเนียมช่วงที่เปิดโครงการใหม่กับราคาที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมโอนให้กับลูกค้ามีราคาแตกต่างกันมาก ทำให้มีกลุ่มนักลงทุนประเภทที่ซื้อเพื่อการลงทุน นำมาปล่อยให้เช่า และเมื่อเห็นว่าราคาดีก็ขายทำกำไร ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10-15% ของยอดขายแต่ละโครงการ

“ระดับราคาคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน ราคาเปิดโครงการใหม่เมื่อสร้างเสร็จ มีระดับราคาใกล้เคียงกัน ทำให้นักลงทุนที่ซื้อเพื่อลงทุนหรือเก็งกำไรหมดไป ทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมไม่หวือหวา ยกเว้นโครงการที่มีทำเลที่ตั้งดี เช่นติดรถไฟฟ้า ซึ่งความต้องการยังมีอยู่”

อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดคอนโด-มิเนียมชะลอตัว ตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง และเมื่อบรรดาห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มเดอะมอลล์ หรือกลุ่มเซ็นทรัลไปเปิดห้าง เช่น ในย่านบางนา หรือบางใหญ่ ก็จะทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ในย่านดังกล่าวขายดีขึ้นหรือถือเป็นจุดขายใหม่ของผู้ประกอบการธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์
อังคณา ปิลันธน์โอวาท ไชยมนัส
กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

ภาพรวมของการปล่อยสินเชื่อของอสังหาริมทรัพย์ในปี 2557 ที่ผ่านมา ถือว่าตลาดปรับตัวได้ดีเกินกว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากในช่วงครึ่งปีแรก เรามีปัญหาการเมืองภายในประเทศ ส่งผลลบต่อบรรยากาศการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชนและการเปิดตัวโครงการใหม่ ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์

แต่ภายหลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)เข้ามายึดอำนาจปกครองเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมประกาศนโยบายในการแก้ไขเศรษฐกิจอย่างชัดเจนทั้งในระยะสั้นและระยะ ปานกลาง ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นตัวขึ้นมาทันที

“จุดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริงๆ คือในช่วงเดือน ส.ค.และเดือน พ.ย.57 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่มากถึง 31,300 หน่วย ขณะที่บ้านจัดสรรมียอดเปิดขายใหม่หนาแน่นมากถึง10,100 หน่วย จึงทำให้ธุรกิจโดยรวมของอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 จนถึงสิ้นปี มีปริมาณการซื้อขายดีกว่าครึ่งปีแรกของปีที่แล้ว”

ดังนั้น การปล่อยสินเชื่อที่ไม่ค่อยดีนักในช่วงต้นปี ก็ค่อยๆ เริ่มปรับตัวดีขึ้น ตั้งแต่เดือน ก.ย.เป็นต้นมา โดยดันยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของ ธอส.ทะลุ 10,000 ล้านบาท ในช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปี 2557 (ส.ค.-ธ.ค.) ส่งผลให้ยอดปล่อยกู้ที่อยู่อาศัยทั้งระบบในปี 2557 เติบโตใกล้เคียงกับปี 2556 ที่ระดับ 534,800 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นยอดการปล่อยสินเชื่อของ ธอส.จำนวน 134,000 ล้านบาท มีการเติบโตเมื่อเทียบกับปี 2556 ประมาณ 6-7% และในปีนี้ ธอส.ก็ได้ตั้งเป้าการปล่อยสินเชื่อไว้ที่140,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 6-7% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่มีคุณภาพและเป็นไปตามทิศทางของตลาดอสังหาริม ทรัพย์

สำหรับภาพรวมการปล่อยสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ธอส.วิเคราะห์ว่า ปัจจัยสนับสนุนยังคงเป็นการเร่งก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนใน กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และการตัดถนนสายใหม่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลและต่างจังหวัด ซึ่งช่วยเปิดหน้าดินสำหรับโครงการใหม่และเป็นทางเลือกเพิ่มขึ้นของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกจากความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนที่จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในช่วงปลายปี 2558 และการให้ความสำคัญของรัฐบาลไทยกับจีนในการก่อสร้างรถไฟกึ่งความเร็วสูงใน หลายๆเส้นทางก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและความต้องการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งในเชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยตามหัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคเพิ่มเติมอีก

ส่วนราคาน้ำมันที่ปรับลดลงมากและการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการนั้น จะช่วยให้ผู้บริโภคบางส่วนมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น แต่ประเด็นที่สำคัญคือ บรรยากาศการเมืองภายในประเทศ หากมีความสงบเรียบร้อยตลอดปี 2558 จะยิ่งช่วยส่งเสริมตลาดที่อยู่อาศัยให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่องไม่ผัวผวน เหมือนกับช่วงต้นปี 2557.

ที่มา: เว็บไซต์ นสพ.ไทยรัฐ http://www.thairath.co.th/content/474046


วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์..เริ่มที่ตรงนี้

หลายคนใฝ่ฝัน หรืออาจจะเพิ่งเริ่มสนใจ ด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ อยากจะเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บางคนยังไม่มีอาชีพ บ้างก็มีอาชีพมั่นคง แต่ต้องการความมั่งคั่ง บ้างก็เป็น Broker หรือนายหน้าอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ แต่อยากพัฒนาตัวเองสู่การเป็น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์อยู่แล้วก็คงจะพอหาหนทางที่จะพัฒนาตนเองไต่ระดับเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ไม่ยาก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีญาติพี่น้องหรือเพื่อนสนิทเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมากมักจะเป็นเพียง Broker ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่จะผันตัวเองเข้าสู่การเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เบื่องต้นก็คงจะ..มืดแปดด้าน

ที่ปรึกษาดีๆ ก็ใช่ว่าจะเดินมาชนให้ปรึกษากันได้ง่ายๆ ลงระดับเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ส่วนมากแล้วก็สาละวนอยู่กับธุรกิจส่วนตัว ไม่ได้มีเวลามาให้ใครปรึกษา ว่างเว้นจากงานตัวเองก็อาจจะมีคนจ้างไปเป็นที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อาจจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือเป็นนิติบุคคล

ครั้นจะหาหนังสือซื้อหนังสืออ่านส่วนมากก็ไม่ค่อยจะให้ความกระจ่างได้มากนัก กว่าจะเรียนรู้อย่างมากบางคนก็เป็นได้เพียง Broker หรือนายหน้า ขยับขึ้นมาหน่อยก็เป็นยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ซื้อขายอสังหาฯ หากได้เพียงเท่านี้..เสียดายเงินที่ซื้อหนังสือเพราะเป็นเรื่องที่คนตั้งแต่สมัยไหนสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหนังสือ การหาซื้อหนังสือมาอ่านหรือการค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตก็ยังไม่ตอบโจทย์แม้จะบรรลุได้เป็นถึง Broker มือหนึ่ง มือสอง หรือมือสาม เพราะประเด็นหลักไม่ได้ต้องการเป็น Broker หรือนายหน้า แต่ต้องการเป็น Developer หรือนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ที่เห็นนิยมกันสมัยนี้ก็เริ่มจากการเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เล็กๆ โดยการซื้อบ้านเก่ามารีโนเวท พัฒนาปรับปรุง ทำจนเสร็จแล้ว อย่างไรต่อ..ขาย กว่าจะได้แต่ละหลัง กว่าจะเสร็จแต่ละขั้นตอน แบกภาระความเสี่ยงที่จะขายไม่ได้ตามระยะเวลาที่ควรจะเป็นไว้เต็มหมัด ถ้าเป็นที่ดินส่วนตัวไม่มีดอกเบี้ยก็แค่รอและรอ เพราะต้องไม่ลืมว่า บ้าน ที่ดิน คอนโดมิเนียม ฯลฯ ลองขึ้นชื่อว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ขายกันได้วันนี้หรือพรุ่งนี้ เป็นสินค้าที่ใช้ระยะเวลาในการขายค่อนข้างนานถึงนานมากหรืออาจจะขายไม่ได้เลย ไม่ได้เหมือนรถรา หรือสร้อย แหวน นาฬิกา ข้อมือ โทรศัพท์ มือถือ หนูช๊อบชอบ ซื้อง่ายขายคล่อง แต่ที่ดินราคานับล้านสิบล้านยี่สิบล้านจะซื้อกันวันนี้ขายพรุ่งนี้..ไม่เฮงสุดๆ ก็คงต้องไปขายที่ดาวอังคาร

ซื้อถูก ขายแพง กินส่วนต่าง กฎของการค้าขาย พื้นฐานที่แม้แต่พ่อค้าแม่ค้าในตลาดสดก็ทราบดี หากต้องการเป็นเพียง Broker ก็คงไม่จำเป็นต้องสอนกัน แต่สิ่งที่ทำให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แตกต่างจาก Broker ก็คือการเพิ่มมูลค่าสินค้า เพียงแต่สินค้ามีมูลค่าสูงมาก การดำเนินการต่างๆ ก็มีขั้นตอนค่อนข้างจะยุ่งยากกว่าสินค้าชนิดอื่นๆ แม้จะไม่ต้องใช้ทักษะวิชาชีพเฉพาะทาง เรียกว่าใครก็ทำได้ แต่ทำได้กับทำเป็นมันก็คนละเรื่องกัน ทำได้แต่เจ๊งนั่นก็เรียกว่าทำไม่เป็น เพราะขึ้นช่อว่านักพัฒนา ไม่ว่าจะพัฒนาสิ่งใดต้องทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม หากเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องพัฒนาให้ที่ดินที่พัฒนามีมูลค่ามากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่หนึ่งหรือสองเท่าแต่เป็นหมื่นเป็นพันเท่าต่างหากจึงจะเรียกได้ว่าเป็น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

ไม่โลกสวยจนมองไม่เห็นโลกของความจริง ทำได้ก็คือทำได้ ไม่ใช้อารมณ์ส่วนตัวดันทุรังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จริงอยู่ว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้จะมีทางออกของมันเสมอ แต่คุ้มค่าหรือไม่กับเงิน เวลา โอกาส ที่ลงทุนไป แม้จะไม่ขาดทุนแต่หากใช้เวลานานกว่าจะคืนทุนนั่นก็เรียกว่าขาดทุนเพราะมูลค่าเงินลงทุนที่ลดลงไปตามอัตราเงินเฟ้อ แม้ว่าในทางบัญชีเหมือนว่าจะเท่าทุนหรือกำไรแล้ว แต่ในทางการเงินอาจจะมองว่าขาดทุน หากใช้เวลานานเกินไปและได้รับผลตอบแทนมูลค่าเท่าเท่ากับที่คำนวณไว้เมื่อแรกเริ่มดำเนินการ เพราะจะคำนึงถึง Payback Peried ด้วย ยิ่งหากมองในแง่ของนักเศรษฐศาสตร์ก็ยังอาจจะขาดทุนต่อให้ในทางการเงินที่คำนวณ NAV หรือมูลค่าแท้จริงแล้วคือกำไร เพราะในทางเศรษฐศาสตร์ยังมองถึงการขาดทุนโอกาสในการทำกำไร หรือขาดทุนกำไร ขาดทุนโอกาสที่่จะได้รับผลกำไรที่ควรจะได้รับนั่นเอง

อสังหาริม ทรัพย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อบรม สัมมนา รวยด้วยอสังหา 2558 ลงทุน อสังหา ลงทุนบ้าน ลงทุนคอนโด นายหน้า ที่ดิน คอนโด บ้าน อสังหา 2558 กฎหมายอสังหา

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ส่อง Environment Factor อยู่ให้ถูกที่ถูกเวลา

เมื่อทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม หลีกหนีไม่พ้นอุปสรรคทุกรูปแบบ ทั้งจากปัจจัยแวดล้อมที่กระทบกับธุรกิจทั้งจากภายใน และภายนอก แต่บางทีหากมองให้ดีมองให้เป็นอุปสรรคกลับกลายเป็นโอกาส

Macro Environment Factor



  1. Social

  2. Culture

  3. Economics

  4. Political/Legal

  5. Tecnology

ในที่นี้จะขอกล่าวเพียงบางส่วน
ตัวอย่างเกี่ยวกับการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั่วไปที่เห็นได้ชัดเจนในระยะนี้ที่เห็นง่ายๆ และชัดเจน เป็นเรื่องเกี่ยวกับนโยบายต่างๆ ของภาครัฐ หรือกฎหมาย การเมือง ในสภาวะแวดล้อมโดยทั่วไปภายในประเทศในปัจจุบัน หรือปัจจัยภายนอกที่เป็นได้ทั้งโอกาสและอุปสรรค แแม้จะเป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่เลือกที่จะ "ยืนให้ถูกที่ ถูกเวลาได้" เช่นอย่างในตอนนี้ หากติดตามข่าวสารจะเห็นชัดว่ารัฐบาลชุดปัจจุบัน (2558) เน้นการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศและให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่จะเป็นโอกาสให้กับธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม ได้รับผลประโยชน์จากนโยบายต่างๆ ของ รัฐบาลที่ออกมาช่วยกระตุ้นตามนโยบาย เช่น การคืนภาษีให้นักท่องเที่ยว การเพิ่มวันหยุด การปรับภูมิทัศน์ของแหล่งท่องเที่ยว หรือการรณรงค์ผ่านสื่อทุกรูปแบบ ที่นอกจากจะสร้างบรรยากาศชักชวนให้ชาวไทยหรือชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ยังเอื้อกับการลงทุนในกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยวทั้งทำให้มีความน่าสนใจมากขึ้น และกลุ่มนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ได้รับปัจจัยบวกด้วยเช่นอย่างไม่น่าแปลกใจ

หากมองลึกไปอีก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบัน หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ อาจจะนอนเอาเท้าก่ายหน้าผากเลยทีเดียวเพราะผลจากการที่สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศยุโรป คว่ำบาตรรัสเซียที่แต่ละมีจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมากลดลงจากค่าเงินรูเบิ้ลอ่อนตัว หรือการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจในประเทศจีนชะลอตัวลงอย่างจงใจก็ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ก่อนหน้านี้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากก็ลดลงไปด้วยเช่นกัน แต่ก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อรัฐบาลส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศจนถึงกับออกกฎระเบียบออกมามากมายเช่นนี้ ก็ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชิงท่องเที่ยวก็ยังคงความเย้ายวนน่าสนใจ เพราะประเทศไทยไปที่ไหนก็เหมือนสวรรค์ดั่งประโยคในสปอร์ตโฆษณาของ ททท. ความมั่นใจในจุดนี้หากไม่มีเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองเข้ามาแทรกก็ไปได้อีกไกล

หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ในครั้งที่รัฐบาลต้องการกระตุ้นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ปรับเปลี่ยนอัตราค่าธรรมเนียมการจดจำนองลง 0.01% แล้วยังลดดอกเบี้ย ทำให้ธนาคารพาณิชย์ต่างแข่งกันออกแคมเปญจ์เพื่อดึงดูดผู้มีรายได้ระดับกลาง ไม่เพียงแค่ลดดอกเบี้ย แต่ยังเข้าร่วมกับ สปส. เพื่อจัดวงเพราะเป็นลูกค้าที่มีรายได้แน่นอนประจำทุกเดือน และสามารถหักค่างวดจากเงินเดือนกับบริษัทเงินและเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยพิเศษให้กับผู้ประกันตนอีกด้วย ห้างร้านได้โดยตรงก่อนที่เงินเดือนจะเข้าบัญชีผู้ประกันตน ซึ่งก็เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐบาลในยุคนั้น

แม้แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่มีโครงการรถยนต์คันแรก คืนภาษีที่ต้องจ่ายเป็นส่วนลดสูงสุดถึง 100,000 บาทต่อคัน ต่อคน ก็ทำให้ตลาดอุตสาหกรรมรถยนต์คึกคัก จนมีรถวิ่งล้นถนนเลยทีเดียว แม้จะมีปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันแพง แต่อีกด้านหนึ่งกลับทำให้ตลาดรถยนต์มือสองซบเซาเพราะเมื่อคำนวณเบ็ดเสร็จ ซื้อใหม่ถูกกว่าทั้งราคาตัวรถและอัตราดอกเบี้ย

Micro Environment Factor



  1. คู่แข่งในอุตสาหกรรม(Rivalry/ Potential Entrants)

  2. อำนาจการต่อรองของลูกค้า (Bargaining Power of Customers/ Buyers)

  3. อำนาจการต่อรองของผู้ป้อนวัตถุดิบ (Bargaining Power of Suppliers)

  4. ภัยคุกคามจากคู่แข่งใหม่ๆที่เกิดขึ้น (Threat of New Entrants)

  5. ภัยคุกคามจากสินค้าทดแทน (Threat of Substitute Products or Services)

เมื่อกล่าวถึงระดับมหภาค แล้วจะไม่กล่าวถึงระดับจุลภาคที่ใกล้ชิดกับองค์กรมากทีสุดก็กระไรอยู่ แต่จริงๆ ก็เป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับทุกองค์กรธุรกิจ ที่ต้องประสบพบเจอ ต่างแต่เพียง Micro Environment Factor สามารถควบคุมได้เพราะเป็นปัจจัยแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับองค์กร เพียงแต่หากประเด็นใดเป็นจุดอ่อนก็แก้ไขเปลี่ยนให้กลายเป็นจุดแข็งได้ เช่น อำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์ ในกรณีอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์โครงการขนาดใหญ่ๆ ยิ่งใหญ่เท่าไรอำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์จะลดน้อยลงเท่านั้น เพราะในประเทศมีจำนวนซัพพลายเออร์เพียงพอที่จะทำให้เกิดการแข่งขัน และนั่นคือตัวอย่างจุดแข็ง
อสังหาริม ทรัพย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อบรม สัมมนา รวยด้วยอสังหา 2558 ลงทุน อสังหา ลงทุนบ้าน ลงทุนคอนโด นายหน้า ที่ดิน คอนโด บ้าน อสังหา 2558 กฎหมายอสังหา

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อสังหาฯ แนวใหม่ ดึงผู้ซื้อร่วมระดมทุน by โพสท์ทูเดย์



จากโพสท์ทูเดย์ (18 ธ.ค. 57)

การแข่งขันในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบันมีความรุนแรงขึ้นอย่างมากจนทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กในธุรกิจนี้อยู่ได้ยากขึ้น เนื่องจากแหล่งเงินทุนนั้นหาได้ยาก อีกทั้งรูปแบบการพัฒนาโครงการจะต้องสามารถตอบโจทย์ของผู้ซื้อ แต่ในขณะนี้ได้เริ่มมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กดึงกลุ่มเศรษฐีรายย่อยมาร่วมกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้วยการระดมทุน

พรรณี มุสิกะมูล ผู้ก่อตั้งบริษัท ทัชริช (Touch Rich) เปิดสอนด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มาตั้งแต่ปี 2533 และบริษัท เอมไฮต์ ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริทรัพย์ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2555 ด้วยทุนจดทะเบียน 280 ล้านบาท โดยจุดเด่นของบริษัทนี้ คือการดึงนักลงทุนรายย่อยที่มีความสนใจด้านอสังหาฯ เข้ามาศึกษาผ่านหลักสูตรของทัชริช (Touch Rich) โดยต้องเป็นสมาชิกเสียค่าเรียน 1,000 บาท เพื่อมาศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการของบริษัท และปรับทัศนคติให้ตรงกัน จากนั้นจึงจะสามารถเข้ามาร่วมลงทุนผ่านบริษัทเอมไฮต์ (Aim High)

สำหรับโครงการแรกที่บริษัท เอมไฮต์ จะพัฒนานั้น พรรณี เล่าว่าได้ให้บุตรชาย วิภู อวิรุทธมาน เป็นผู้บริหารโครงการโดยได้เริ่มพัฒนาโครงการเอมวัน ชุมพรซีไซต์ ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศ รูปแบบวิลล่า ตั้งอยู่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร บนที่ดินขนาด 11 ไร่ ขนาดบ้านเริ่มต้น 100 ตารางเมตร จำนวน 72 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาท ราคาขาย 3.7 ล้านบาท จำนวน 50 ยูนิต และขนาดใหญ่ 8.5 ล้านบาท จำนวน 22 ยูนิต ขณะนี้โครงการอยู่ระหว่างออกแบบผังโครงการ โดยจะเริ่มเปิดขายพร้อมให้เห็นบ้านตัวอย่างได้ในวันที่ 21 มี.ค. 2558

อสังหาริม ทรัพย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อบรม สัมมนา รวยด้วยอสังหา 2558 ลงทุน อสังหา ลงทุนบ้าน ลงทุนคอนโด นายหน้า ที่ดิน คอนโด บ้าน อสังหา 2558 กฎหมายอสังหา

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รวยได้ไม่ใช้เงินสักบาท เรื่องจริงหรือแค่นิทาน??

หลายท่านที่อยากรวย คงหนีไม่พ้นจะต้องซื้อหาหนังสือ "พ่อรวยสอนลูกรวย" มาอ่านกัน หนังสือเล่มนี้เป็นการเล่าประสบการณ์ของ ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นนามว่า โรเบิร์ต คิโยซากิ - Robert T. Kiyosaki นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจ MLM ที่เขียนบนสภาวะแวดล้อมการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจของสังคมคนอเมริกัน แล้วส่งต่อให้ผู้อื่นเรียบเรียงให้มีสำนวนที่ชวนให้อ่านและติดตาม

โดยส่วนตัวแล้วไม่เคยได้อ่านจนกระทั่งได้ไปข้องเกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เมื่อปลายปี 2557 ที่ผ่านมา จะเรียกว่าด้วยความจำใจและจำเป็นที่จะต้องหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านก็ว่าได้ เพื่อให้เข้าใจความนึกคิดของคนที่ "อยากรวย" หากผิดพลาดประการใดก็อย่าหาว่าสอนหนังสือสังฆราชเลย ขอให้บทความนี้เป็นเพียงการแชร์ความคิดจากประสบการณ์ที่ผ่านสายตามาในห้วงหนึ่งของชีวิต แต่ละคนก็จะมีประสบการณ์เป็นของตนเองและนี่ก็เพียงประสบการณ์หนึ่งเท่านั้น เหมือนกับการถ่ายภาพ ภาพที่่ถ่ายจากตากล้องสองคน มุมมองที่ถูกถ่ายทอดผ่านสายตาของตากล้องแต่ละคนย่อมจะสะท้อนอารมณ์ของภาพที่แตกต่างกัน ยิ่งถ้าเป็นการถ่ายภาพบุคคลจะเห็นได้ชัดทั้งสีหน้า แววตา และรอยยิ้ม แม้จะถ่ายพร้อมกันด้วยกล้องตัวเดียวกัน อาจจะลองให้พ่อหรือแม่ถ่ายภาพลูกสักภาพ แล้วเปลี่ยนให้คนแปลกหน้าถ่ายก็น่าจะเห็นความแตกต่างได้

เริ่มต้นครั้งแรกในชีวิตกับการอ่านหนังสือ "พ่อรวยสอนลูกรวย" อันลือลั่นสนั่นโลก ที่ได้อ่านเป็นเล่ม 3 ซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะมีความแตกต่างกับเล่มอื่นๆ ที่ผู้เขียนพยายามจะโฆษณาแฝงไว้ตลอดทั้งเล่ม เหมือนกับเล่มที่อ่านนี้มากน้อยเพียงใด ความรู้สึกแรกที่เห็นหน้าปกแล้วทำให้เมินผ่านไปเพราะไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา เข้าใจว่าเป็นการสอนวิธีการทำอย่างไรให้รวย จนเมื่อได้อ่านจริงจัง สัมผัสแรกที่ได้รับคือ.. "นี่เป็นคู่มือการเลี้ยงเด็กนี่!!" ยิ่งถ้าได้อ่านตลอดทั้งเล่ม ก็ยิ่งชัดเจนเพราะมีการพูดถึงพฤติกรรมที่เป็นธรรมชาติของเด็กด้วย แล้วทำไมผู้ใหญ่ตัวโตๆ จึงพากันอ่านแล้วคุยกันโขมงเชียว เมื่ออ่านต่อไปก็เข้าใจว่าจุดประสงค์ของผู้แต่งไม่ได้อยู่ที่การสอนเด็ก แต่เป็นการสอนผู้ใหญ่ให้สอนเด็กที่แฝงนัยยะซ่อนเร้นไว้อย่างแนบเนียน โดยการใช้เด็กเป็นสื่อชักนำ หน้าปกและเนื้อหาภายในก็ตรงกัน แต่เหมือนว่าวัตถุประสงค์ของคนที่ซื้ออาจจะตรงแค่ปก ไม่ค่อยตรงกับเนื้อหาภายในเท่าไร เดาเอาว่าโดยมากที่ที่ซื้อไปเพื่อจะเรียนรู้วิธีการสอนของพ่อรวยและตนเองเป็นลูกที่พร้อมจะรับคำสั่งสอนจากพ่อรวยตามปก "พ่อรวยสอนลูกรวย" มากกว่าการจะหาความรู้เพื่อจะเอาไปฝึกสอนลูกให้เป็นอภิมหาเศรษฐี

เมื่ออ่านจบแล้ว รู้สึกคุ้นๆ อย่างไรไม่ทราบจึงลองค้นประวัติและก็ถึงบางอ้อเมื่อทราบว่าหนึ่งธุรกิจของผู้แต่งคือ ธุรกิจ MLM จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่ออ่านแล้วจึงให้ความรู้สึกเหมือนหนังสือเล่มหนาๆ ขนาดพ็อกเก็ตบุ๊คที่ AM WAY ให้พวกสมาชิกอ่าน ในตอนนั้นได้มาโดยความบังเอิญและยังมีเวลาว่างพอจะอ่านเล่นได้

อ่านจบก็นั่งคิด ไม่ได้ทึ่งอะไรกับหนังสือเล่มนี้นักเพราะส่วนตัวแล้วได้ผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกับผู้แต่งหนังสือเล่มนี้ แต่อยู่ในสภาวะที่เลวร้ายกว่าคำว่า "คนเคยจน" ด้วยซ้ำ และไม่ได้มีพ่อรวยมาคอยชี้แนะหรือสั่งสอน มีแต่เพียงความสนใจใคร่รู้เป็นการส่วนตัว ด้วยสงสัยประสาเด็กในความแตกต่างระหว่างชนชั้น ทำไมคนจนจึงไม่รวย และทำไมคนรวยจึงไม่จน เพียงเท่านั้น

ในสมัยก่อนการจะมีร้านขายของชำสักร้านเป็นเรื่องที่ไม่ยากหากมี connetion (อีกแล้ว) ที่มาจากเพื่อนฝูงหรือเครือญาติ และนั่นคือจุดเริ่มต้นประสบการณ์ของการไม่ใช้เงินเลยสักบาทในการจะมีกิจการเป็นของตนเอง ทุกอย่างคือ "เครดิต" ร้านขายของชำคือวงเวียนเงินสดไว้หมุนเวียนเปลี่ยนมือดีๆ นี่เอง วนเข้า แล้ววนออก ยืมสินค้ามาขายก่อนแล้วค่อยจ่ายค่าสินค้าภายหลังตามเงื่อนไข 1/10, n/30, 5% หรืออาจจะเป็นรูปแบบอื่นก็ว่ากันไปตามข้อตกลงแต่ละราย

ปัจจุบันธุรกิจส่วนใหญ่ก็ยังคงทำกันเช่นนั้น ไม่มีใครใช้เงินทุนเพื่อไปซื้อสินค้ามาขายเพราะถ้าขายไม่ได้ตามระยะเวลาแม้จะเป็นสินค้าที่ไม่เน่าเสียก็ตกรุ่นแปลว่าขาดทุน แต่ถ้าเป็นการยืมสินค้ามาขายทางฝั่งต้นน้ำจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่อง Produc Life Cycle ขยันนำมาเปลี่ยน และทำการศึกษาข้อมูลเสร็จสรรพว่าจะผลิตอะไรให้ตรงกับความต้องการของตลาดเปลี่ยนเป็นรูปแบบของการฝากขายแทน แต่ถ้าเป็นร้านชำสมัยก่อนก็เก่าเก็บคาร้านสินค้าบางอย่างเลิกผลิตไปสิบกว่าปีก็ยังมีวางขายในร้าน

เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ธุรกิจเฟรนไชน์เติบโตขึ้นข้อจำกัดของบทบาทผู้ที่อยู่กลางน้ำก็เริ่มมีมากขึ้น และการจะเข้าถึงธุรกิจค้าปลีกก็ไม่ง่ายดังเก่าก่อนอีกต่อไป เพราะการสร้างอุปสรรคเพื่อกีดกันของบริษัทธุรกิจค้าปลีกยักษ์ใหญ่ทั้งตีกัน ตีโอบเล่นกลยุทธ์ทุกเม็ด จนผู้ประกอบการรายเล็กอยู่ไม่ได้ล้มหายตายจากกันไปมากมาย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการค้าปลีกผู้มาก่อนย่อมได้เปรียบทุ่มทุนสร้างทั้ง Brand Awareness จนถึง Brand Royalty จนแทบใกล้จะเข้าสู่การผูกขาดตลาดธุรกิจค้าปลีกไปแล้ว มาทีหลังต่อให้มีทุนเท่ากันก็ไม่มีสิทธิ์จะไปแข่ง แล้วธุรกิจค้าปลีกทำเลดีๆ ก็ได้กลายเป็นธุรกิจสำหรับผู้มีทุนหนาเท่านั้น ผู้มาใหม่เป็นได้เพียงเฟรนไชน์ซี่ มีทุนเริ่มแรกไม่ถึง 7 หลักก็หมดสิทธิ์ และต่อให้มีสิทธิ์ก็ต้องแบกรับภาระของต้นทุนทั้งสินค้าและการบริหารจัดการ รวมทั้งค่าเฟรนไชน์ฟีที่ต้องจ่ายให้กับเฟรนไชน์ซอร์อีกด้วย

ส่วนตัวแล้วเริ่มสนใจเรื่องอสังหาริมทรัพย์ตอนอายุยี่สิบต้นๆ แต่ก่อนหน้านั้นสิ่งที่สนใจที่สุดคือเทคนิคและวิธีการ "จับเสือมือเปล่า" เพราะครอบครัวไม่ได้มีฐานะทางการเงินที่จะเรียกว่าร่ำรวยคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ค่อนไปทางจนกรอบคาบจอบคาบเสียมมาเกิดมากกว่า ไม่ทำงานก็ไม่มีรับประทาน แต่โชคยังดีที่มีพื้นฐานความเชื่อที่ว่า ไม่มีอะไรที่จะทำไม่ได้ และเป็นไปไม่ได้ หากตั้งใจจะทำจริงๆ อยากจะรวยไม่เห็นจะยากเงินหล่นเกลื่อนถนน แค่มองให้เห็นแล้วจับให้ติดก็เท่านั้นเอง และแล้วก็ได้สัมผัสกับการจับเสือมือเปล่าได้รับเงินค่าตอบแทนจากการปล่อยเช่าช่วงอาคารพาณิชย์ที่มิใช่ของตนเองก้อนหนึ่งเป็นผลตอบแทนที่ได้มาในรูปแบบของ Passive Income ครั้งแรกในชีวิตที่ใช้เงินลงทุนน้อยกว่าผู้เช่าระดับบนที่ต้องเสียค่าเซ้งหลายเท่าเลยด้วยซ้ำ แต่ด้วยยังเด็กเมื่อพบกับตัวตนของตัวเองจากการทำงานอื่นจึงไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องอสังหาริมทรัพย์อีก

จนกระทั่งเมื่อถึงวัยที่สมควรจะต้องมีบ้านเป็นของตนเอง เพื่อประโยชน์ในการนำมาต่อยอดการทำงานและคาดหวังการได้มาซึ่งผลตอบแทนจากบ้านที่จะซื้อเป็นงานอดิเรก มาถึงจุดนี้จะเล่าวิธีการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในเมืองราคาล้านต้นๆ เมื่อสิบปีก่อน โดยไม่ได้ใช้เงินสักบาทจริงๆ ยกเว้นค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ หรือหากจะคิดเพื่อความสบายใจก็ขออนุญาตบอกว่าใช้เงินไม่ถึงพันบาทละกัน

เมื่อถึงคราวที่จะต้องระดมความรู้ เพื่อให้เกิดความคิดค้นหาวิธีการที่จะได้ครอบครองบ้านด้วยวิธีเก๋ๆ ไม่ต้องใช้แม้แต่เงินวางมัดจำเลย ด้วยสถานการณ์บีบบังคับเพราะในขณะนั้นมีเงินออมเพียงน้อยนิดไม่พอที่จะวางมัดจำด้วยซ้ำ บ้านราคา 1.3 ล้าน วางเงินมัดจำเพื่อทำสัญญา 30,000 เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อไม่มีเงินก็เล่นลูกหน้าด้านกันละ ขอนายหน้าแบบตรงๆ เลย ไม่มีเงินแต่อยากได้บ้าน สเตจเมนท์ผ่านแน่ ถ้าอยากขายก็อยากซื้อ นายหน้าก็ช่วยไม่เอาเงินมัดจำแต่ออกใบสัญญาจะซื้อจะขายเพื่อไปยื่น กู้กับธนาคารได้ 90% ดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี หลังจากนั้นลบ MRR -1 ใช้ประโยชน์จากโครงการบ้านหลังแรกของสำนักงานประกันสังคม แน่นอนว่าติดตามข่าวสารเสมอและหากไม่มีโครงการสนับสนุนจากรัฐบาลในยุคนั้นเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ย ลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง เพื่อให้สอดรับกับโครงการบ้านเอื้ออาทร และเป็นแผนกระตุ้นเศรษฐกิจก็อาจจะยังไม่คิดเรื่องการซื้อบ้านแน่นอน

เมื่อโอกาสมาแล้วจึงไม่เสียเวลาที่จะรีรออะไรอีก โอกาสเป็นสิ่งที่มาเร็วและไปเร็วเสมอ บางครั้งก็โอกาสดีๆ ไม่เกิดซ้ำซะด้วย จึงรีบออกตระเวนหาบ้านในฝัน ได้เป็นทาวน์เฮาส์เล็กๆ มือสองที่ผ่านการรีโนเวทฝีมือนายหน้าแบบหยาบสุดๆ แต่อยู่ในเมืองใกล้มหาวิทยาลัยแบบรั้วแทบจะติดกัน ปล่อยเช่าง่าย ปล่อยขายไม่ยาก เพราะราคาระดับพนักงานเงินเดือนขอกู้แบงค์เพื่อซื้อได้สบายๆ ปัจจัยสำคัญในการเลือกบ้านสไตล์เด็กๆ ในตอนนั้น เพื่อขายต่อหรือปล่อยเช่าต่อเต็มๆ ในอนาคต แม้จริงๆ แล้วจะเพื่ออยู่อาศัยเอง ไว้เป็นทางหนีทีไล่ ป้องกันความเสี่ยงกรณีไม่มีเงินผ่อนชำระกับธนาคาร คำนวณแล้วจากค่าเช่าอพาร์ทเมนท์กับค่าเช่าบ้านกับค่างวด..พอไปได้

ความได้เปรียบของทำเลทำให้ไม่ต้องกังวลกับโครงการบ้านเอื้ออาทรที่เป็นศัตรูทางตรงของการปล่อยเช่าในตอนนั้นเลย มั่นใจได้บ้านไม่หลุดแน่นนอน เมื่อได้บ้านแล้วก็เริ่มวางแผน หาราคาประเมิน ด้วยว่าวางแผนจะซื้อบ้านมานานแล้วเพียงแต่รอโอกาสที่เหมาะสม จึงเดินบัญชีไว้ให้เพียงพอกับงบประมาณราคาบ้านที่คิดว่าผ่อนไหว คิดเฉพาะเรื่องผ่อนไหวเท่านั้น แล้วค่อยจึงมาดูราคาบ้านอีกที เรื่องสเตจเมนท์จึงพร้อมเสมอ แต่ปัญหาต่อมาก็คือ บ้านล้านกว่าธนาคารให้ 90% แต่วงเงินที่จะได้จากสลิปเงินเดือนคำนวณคร่าวๆ แล้วได้เพียง 900,000 ไม่พอแน่นอน จึงยื่นเรื่องรายได้พิเศษเสริมเข้าไป เพราะบัญชีเดินไว้เหลือเฟือสำหรับรายได้พิเศษที่จะเพิ่มเข้ามาจึงได้วงเงินเพิ่มเป็น 1.1 ล้าน ยังขาดอีก 200,000 ไปตกลงกับนายหน้า อยากได้บ้านแต่ไม่มีเงินช่วยอะไรได้บ้าง อะไรก็ผ่านหมดแล้วเหลือแค่เรื่องนี้ ขอผ่อนจ่ายได้ไหมกับเงินส่วนที่เหลืออีก 200,000 เพื่อหมุนเงินภายในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งจริงๆ หากตอนที่ทำสัญญาซื้อขายให้นายหน้าตั้งราคาซื้อสูงให้พอดีกับวงเงินกู้เพราะราคาประเมินล้นเหลือก็จะไม่ต้องหาเงินอีก 200,000 ในส่วนนี้เลย แต่ก็จำไม่ได้ว่าด้วยเหตุใดจึงไม่ใช้วิธีดังกล่าว เมื่อนายหน้าไม่ยอมให้ผ่อน แต่ให้เป็นส่วนลดแทน 50,000 ก็ยังดี หาอีกประมาณ 170,000 เผื่อค่าดำเนินการอื่นๆ งานนี้ก็เริ่มใช้วิธีหมุนเงินเข้าและออกจากเจ้าหนี้รายย่อยนอกระบบแทน ไม่ใช่ใครอื่นบรรดาญาติสนิทมิตรสหายนั่นเอง รายละเล็กละน้อยหลายราย แต่เวลาการชำระไม่ตรงกัน จนกว่าจะรวบรวมเงินจากรายได้ประจำแล้วไล่ชำระจนหมด เป็นอันว่าก็ได้บ้านหลังแรกในชีวิต

ประสบการณ์ครั้งนั้นจะทำให้ได้รับบ้านฟรีได้เลยถ้าตัดสินใจที่จะไปพักอาศัยในอพาร์ทเมนท์และปล่อยบ้านหลังนั้นให้เช่าแทน เพราะค่าเช่าอพาร์ทเมนท์เดือนละแค่ 2,500-3,000 โดยประมาณ แต่ค่าเช่าบ้านเดือนละ 7,000-8,000 บาท เพียงพอกับค่างวดเพียงเดือนละ 4,000 กว่าบาท พร้อมดอกเบี้ย แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ หากมีเงินก้อนโตผ่านเข้ามือไม่ว่าจะมาจากแหล่งใด ไม่มีทางที่จะเอาไปโปะเงินต้นเพื่อลดดอกเบี้ย จะนำไปลงทุนต่อในรูปแบบอื่นๆ เพราะคำนวณแล้วในระยะนั้นเป็นช่วงตื่นทอง ถ้าลงทุนในทองคำจะได้รับผลตอบแทนปีละ 30% มาหักลบกับดอกเบี้ยเงินกู้ 2.5% กว่าจะไปถึงดอกเบี้ย MRR -1% ก็มีเงินเหลือเก็บที่จะเอาไปลงทุนเพื่อชดเชยดอกเบี้ยที่เพิ่มเข้ามาหลังจากครบกำหนดดอกเบี้ย 2.5% คงที่ 5 ปี ได้สบายๆ เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงปีอัตราดอกเบี้ยก็กลับตัวเป็นขาขึ้น ก็จะได้ส่วนต่างที่จะเอาไปลงทุนอย่างอื่นต่อได้อีกสบายๆ

ด้วยอายุยังน้อยยังสนุกกับเรื่องอื่นๆ เมื่อได้บ้านตามต้องการแล้วก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เอาแค่หาวิธีให้เงินเท่าที่มีทำงานได้ผลตอบแทนมาชดเชยกับอัตราดอกเบี้ยที่เสียให้กับธนาคารโดยไม่ต้องใช้เงินรายได้หลักก็พอใจแล้ว ยิ่งถ้าปล่อยเช่ายังต้องดำเนินการเรื่องทางกฎหมายจุกจิกอีกมากมาย และหากได้ผู้เช่าที่เฮงซวยก็จะมีปัญหาต้องตามแก้อีกเพราะทำด้วยลำพังตัวคนเดียวไม่มีพรรคพวกที่จะมาช่วยแก้ปัญหาให้ได้ แต่ยังไม่ทิ้งแผนการที่จะนำบ้านหลังนี้เข้าจำนองเพื่อซื้อบ้านหลังต่อไปและต่อไป รอจังหวะดีๆ ตระเตรียมผู้ซื้อผู้ขายไว้เรียบร้อย สุดท้ายเมื่ออายุยิ่งมากไฟเริ่มมอดบวกกับงานประจำที่เป็นโปรดปรานทำให้ไม่มีเวลาเหลือที่จะคิดทำอะไรต่อไปได้อีก

ทั้งหมดนี่ไม่ได้มาจากหนังสือหรือตำราเล่มใด ไม่มีพ่อรวยมาสอนให้รวย เป็นเพียงความมุ่งมั่นและทำให้สำเร็จตามเป้าหมายและเงื่อนไขที่วางไว้ "จับเสือมือเปล่า" บนความเชื่อและศรัทธาว่าทุกอย่างทำให้เป็นจริงได้แค่ "คิดให้ออก" เท่านั้นเอง อาจจะเกิดคำถามว่าแล้วปัจจุบันน่าจะรวยมีเงินกองท่วมหัว เปล่าเลยยังมีฐานะปานกลางแค่พอกินพออยู่ ปัจจุบันจะเรียกว่าไม่มีบ้านเป็นของตัวเองก็ได้เพราะบ้านที่ซื้อในครั้งนั้นไม่ซื้อในนามของตัวเอง คนเราจะมีทางเลือกที่จะดำเนินชีวิตต่างกัน บางคนฝันอยากรวย อยากใช้ชีวิตที่หรูหรา สุขสบาย แต่บางคนไม่ต้องรวยแค่ขอใช้ชีวิตอยู่แบบเงียบๆ สงบๆ ได้ทำในสิ่งที่รักที่ชอบและไม่ต้องวุ่นวายกับใครก็พอใจแล้ว ไม่มีใครผิดอยู่ที่ความสบายใจ สุขใจ ในการที่จะเลือกหนทางดำเนินชีวิต สไตล์ของใครก็ของใคร

ที่สำคัญ..สิ่งที่เล่ามาเป็นเพียงการจะบอกว่าถ้าต้องการจะครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ใช้เงินสักบาท "ทำได้จริง" แล้วถ้าหวังจะรวยด้วยอสังหาริมทรัพย์โดยใช้เงินจำนวนน้อยหรือไม่ใช้เลยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือพิสดารอะไรเลยแม้แต่น้อย ต้องก่อนเข้าใจว่าที่เล่ามาวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อหวังผลเชิงพาณิชย์ เพราะจะหวังผลเชิงพาณิชย์ได้อย่างไรโดยไม่มีพรรคมีพวก ไม่มี connection ก็ถูๆ ไถๆ ทำไป ได้ผลตอบแทนมาหลักแสน หรือได้เป็นเบี้ยหัวแตกรายเดือนจะให้รู้สึกว่าเพียงพอหรือ?? กว่าจะสะสมผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำก็ใช้ระยะเวลานาน หากคิดเช่นนั้น คงจะต้องกลับไปทบทวนใหม่ เพราะการจะหวังผลตอบแทนในอสังหาริมทรัพย์ในทางธุรกิจสำหรับอุตสาหกรรมนี้ มักน้อยไม่ใช่เรื่องที่ดี นอกจากจะใช้เงินลงทุนจำนวนน้อยแล้วยังจำเป็นที่จะต้องมองผลตอบแทนไปที่หลักล้านถึงสิบล้านในห้วงระยะเวลาอันสั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะต้องไม่ลืมว่าได้ลงมือทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว จะมองเพียงผลตอบแทนไม่กี่แสนคงไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไร และหากมองเป้าหมายแบบนี้แล้วจะเห็นว่าวิธีการข้างต้นที่เล่ามาทั้งหมดเป็นวิธีการของเด็กอมมือเท่านั้น

อสังหาริม ทรัพย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อบรม สัมมนา รวยด้วยอสังหา 2558 ลงทุน อสังหา ลงทุนบ้าน ลงทุนคอนโด นายหน้า ที่ดิน คอนโด บ้าน อสังหา 2558 กฎหมายอสังหา

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รวยไปทีละสเต็ปหรือจะ "ก้าวกระโดด" ??

จะเริ่มจากจุดไหนเลือกเองได้ Owner - Broker - Developer - Ultimate Developer ก้าวทีละก้าวจาก Owner ไปเรื่อยๆ จนถึง Ultimate Developer กว่าจะถึงฝันคงต้องใช้เวลาอีก "หลายปี" การก้าวข้ามไปสู่ Ultimate Developer ก็ใช่ว่าจะง่าย ถ้าไม่มี "พี่เลี้ยง" การจะสะดุดหกล้มหัวคะมำจะรุนแรงกว่าระดับอื่นๆ เพราะการจะกระโดดข้ามหัวคนอื่นๆ โดยที่พื้นฐานไม่แข็งแรงสั้นๆ คำเดียว "เจ็บหนัก"


จะเห็นหลายๆ ประเทศที่ใช้กลยุทธ์การก้าวกระโดด จากการเป็นผู้รับจ้างผลิตไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ กลายเป็นประเทศที่เป็นผู้นำทางเทคโนโลยี แชร์ส่วนแบ่งการตลาดระดับโลก การก้าวกระโดดที่แอบเจ็บตัวในตอนนี้เห็นจะมีแต่ประเทศจีน ที่ก้าวกระโดดและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น และเกาหลี แตกต่างกันตรงที่ จีนก้าวกระโดดโดยไร้พื้นฐานความรู้จริง ปัจจุบันหากดูให้ดีประเทศจีนซ่อนรอยบาดแผลไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพสินค้า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม กดขี่แรงงาน ฯลฯ ที่ไม่รู้ว่าวันใดหนึ่งในปัญหาต่างๆ หากแก้ไขไม่ทันท่วงที..อันตรายมาก

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือพูดแบบภาษาลูกทุ่งๆ คิดจะรวยกับอสังหาริมทรัพย์ สำหรับบางคนที่ไม่เคยสัมผัสกับธุรกิจนี้มาก่อน อาจจะเริ่มต้นก้าวแรกจากการเป็น "Owner" ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง จนผ่านไประยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่ต้องซื้อบ้านใหม่เพื่อขยับขยาย แล้วจึงเอาบ้านเก่ามาขายกันแบบดิบๆ โดยที่ไม่มีการปรับปรุงอะไรเลย เหมือนทรัพย์สินรอขายของธนาคารพาณิชย์ หรือที่กรมบังคับคดีนำมาประมูล เพื่อประหยัดต้นทุน และนี่ก็คือก้าวแรกของการเป็น "Broker" บางคนอาจจะหยุดที่ตรงนี้ แต่บางคนอาจจะก้าวต่อที่จุดหมายต่อไป "Developer" ซื้ออสังหามาใส่ตระกร้าล้างน้ำ หรือรีโนเวท แล้วขายในราคาที่สูงขึ้น และเริ่มจะต้องใช้เงินทุนจนหมด พร้อมหนี้สินพะรุงพะรัง

สมัยต้มยำกุ้งมีพ่อของเพื่อนท่านหนึ่งเป็น "Broker" ที่โดนวิกฤติต้มยำกุ้ง เมื่อปี 2540 เล่นงาน เขาทำอะไรผิดพลาด?? ที่มิอาจรอดพ้นบ่วงของวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ทำให้นักธุรกิจหลายคนสิ้นเนื้อประดาตัว กับ คำถามที่ต้องตอบ..และวิเคราะห์ว่าระหว่างสองคน คนหนึ่งรอด อีกคนไม่รอด คนที่ไม่รอดผิดพลาดอะไร ในเมื่อเหตุการณ์นั้นเป็น "ปัจจัยแวดล้อมภายนอก" ที่ไม่สามารถควบคุมได้ และไม่มีใครคาดฝันว่าจะเลวร้ายขนาดนั้น หากได้อ่านบทความก่อนหน้านี้คงตอบคำถามนี้ได้ไม่ยาก เขาไม่ได้เผื่อสถานการณ์ที่ยากลำบากเหล่านั้นไว้ด้วยการ "ป้องกันความเสี่ยง" และความอหังการ์ทำการเพียงลำพังคนเดียว ใช้เงินทุนทั้งหมดที่มี โดยไม่ได้สำรองไว้ในภาวะฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง รวมทั้งการทำการเพียงลำพังทำให้มีคอนเน็คชั่นที่เปราะบาง ไม่สามารถจะหาใครมาเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ได้พึ่งพิงในยามที่หลังชนฝาแบบนั้น และยังคงมีเหตุผลอีกมากมายที่เขาไม่สามารถจะเล่าให้ฟังได้ รวมๆ แล้วก็คือไม่มีการวางแผนการบริหารจัดการที่ดี จึงทำให้อนาคตต้องจบลงเพียง "Broker" โดยที่ยังไปไม่ถึง "Developer" ด้วยซ้ำ

เมื่อก้าวผ่านคำว่า "Broker" มาได้ แต่ในบางช่วงเวลาที่ปัจจัยภายนอกไม่เอื้ออำนวยทำให้ขายอสังหาฯ ออกช้า เริ่มจะต้อง รีโนเวท จับอสังหาฯ ใส่ตะกร้าล้างน้ำ ชุบตัวใหม่ให้ดูน่าสนใจกว่าเดิม สถานการณ์พาให้ต้องเป็น "Developer" ไปโดยปริยาย แล้ว "ต้นทุนละ!!" เริ่มจะเครียดแล้วละสิเมื่อพูดถึงตรงนี้

สำหรับ Developer กรณีที่ใช้เงินทุนรวมจำนวนน้อย ความเสี่ยงสูง และผลตอบแทนต่ำ แต่หากใช้เงินทุนจำนวนมาก แม้ว่าจะได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่ก็ไม่ทำให้ความเสี่ยงลดลงเลยกลับจะสูงขึ้นยิ่งกว่าเดิมอีก ในขณะที่การหาผู้ร่วมลงทุน นอกจากความเสี่ยงจะต่ำเนื่องจากการกระจายความเสี่ยงออกจากการลงทุนร่วมกัน มีการวางแผนกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงไว้ ในส่วนของผลตอบแทนสูงแน่นอน ใช้เงินลงทุนจำนวนน้อยกว่าผลตอบแทนในอัตราที่สูงเป็นเท่าตัว เมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มแรก และการมีทีมและคอนเน็คชั่นที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะเรื่องการเงิน หรือการตลาด ฯลฯ ทำให้ Payback Period สั้น คืนทุนได้ในระยะเวลาไม่นาน ทำให้ไม่ต้องมองเรื่องมูลค่าปัจจุบันของสินทรัพย์เลย เมื่อคำนวณคร่าวๆ เช่นนี้แล้วทำให้เห็นว่าผลตอบแทนจะสูงกว่า ปกติที่ลงทุนทุกสิ่งทุกอย่างเพียงลำพังตัวคนเดียว ในขณะที่ความเสี่ยงของก็ต่ำกว่าด้วย

หากไม่มีเงินทุนจำนวนมหาศาลจำเป็นต้องก้าวไปทีละสเต็ป จาก Owner แล้วพัฒนาไป Broker แล้วต่อไปยัง Developer กว่าจะถึงการเป็นเจ้าของโครงการการร่วมทุนจะทำให้ลดขั้นตอนลงไปได้เยอะ อาจจะยังไม่ได้เป็น Owner ก้าวกระโดดไปเป็นเจ้าของโครงการเลยในทันที

ยุคสมัยเปลี่ยนไป การจะดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ เติบโต และยิ่งใหญ่ สมดังความปรารถนา มีแค่เงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีทีมที่มีประสิทธิภาพที่จะเป็นสมองขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จด้วยวิธีฉลาดๆ และแน่นอนเพราะยังคงให้ความสำคัญกับ Connection  การฝ่าวิกฤติที่สร้างหายนะให้กับธุรกิจมากมาย สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่าลงมือทำ ในการเรียนรู้จึงให้ลงมือทำ

ด้วยความเชื่อว่าสัญชาตญาณของนักลงทุนย่อมจะไม่ยอมที่จะ "เจ็บหนัก" แน่นอน

อสังหาริม ทรัพย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อบรม สัมมนา รวยด้วยอสังหา 2558 ลงทุน อสังหา ลงทุนบ้าน ลงทุนคอนโด นายหน้า ที่ดิน คอนโด บ้าน อสังหา 2558 กฎหมายอสังหา

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลายหัวดีกว่าหัวเดียว



จุดเชื่อมต่อระหว่างนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจอื่น เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมในการระดมสมอง แนวคิดในการวิเคราะห์ธุรกิจประเภทตา่งๆ บนพื้นฐานความคิดที่ว่าไม่มีใครเก่งที่สุดทุกด้าน เหนือฟ้าย่อมมีฟ้า หรือต่อให้มีจริงก็ไม่สามารถจะทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง การพึ่งพากัน แม้จะแตกต่างกันในประเภทของอุตสาหกรรม

หากเป็นธุรกิจเล็กๆ การจะหาธุรกิจอื่นที่จะมาเป็นพันธมิตรกันก็ไม่ง่าย การเจรจาให้ วิน-วิน ทั้งสองฝ่าย ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนเลยอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก  จึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างให้เป็น "Hub" เพื่อเชื่อมต่อธุรกิจแต่ละประเภทที่จะกลายเป็นจุดแข็งให้ซึ่งกันและกัน

เหมือนกับสิ่งแรกเมื่อเราเข้าไปในสถานีบริการน้ำมัน สิ่งที่เราเห็นนอกเหนือจากตู้จ่ายน้ำมัน และรถจำนวนมาก ทั้งรถยนต์ รถปิ๊คอัพ มอเตอร์ไซต์ ไปจนถึงรถสิบล้อ รถพ่วง จะเห็นสิ่งก่อสร้างเล็กบ้างใหญ่บ้าง ที่นอกเหนือจากคาร์แคร์ที่ดูแล้วก็ยังให้ความรู้สึกกลมลืนไปกับธุรกิจหลักที่ขายน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ธุรกิจเหล่านั้นไม่ได้เปิดให้บริการอะไรที่มีความข้องเกี่ยวกับรถยนต์เลย

"ร้านมินิมาร์ท" กลายเป็นสิ่งที่เกิดมาคู่กับปั๊มน้ำมันไปเสียแล้ว มีความพยายามที่จะหาช่องว่างเพื่อขอส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจค้าปลีกที่มี 7-11 เป็นเจ้าตลาดในขณะนี้ ยิ่งถ้าได้ออกไปตามต่างจังหวัดก็จะยิ่งเห็นความความคิดสร้างสรรค์ และความหลากหลายของธุรกิจประเภทต่างๆ ที่เข้ามาเสริมทำให้ปั๊มน้ำมันปัจจุบันไม่เพียงแต่จำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว

โดยพยายามสรรหาบริการต่างๆ มานำเสนอความต้องการของผู้ที่เข้ามาใช้บริการในปั๊มน้ำมัน ทั้งที่ผู้เข้ามาเติมน้ำมันยังคิดไม่ถึงว่าตัวเองกำลังต้องการสิ่งที่ธุรกิจน้อยใหญ่ในปั๊มน้ำมันนำเสนอเสียด้วยซ้ำไป เช่น เดินทางไกลแวะปั๊มแล้วก็อาจจะรู้สึกหิว หรืออยากยืดเส้นยืดสาย นอนให้พนักงานนวดฝ่าเท้าผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการขับรถเป็นเวลานาน จิบกาแฟร้อนๆ ในสวนน้อยๆ หรือหากเป็นเส้นทางที่มีช่วงรอยต่อระหว่างจังหวัดยาวมากๆ ก็ยังมีห้องพักขนาดเล็กให้เช่ารายวัน เพื่อผู้ที่ขับรถมานานหลายชั่วโมง ได้นอนพักผ่อนบนเตียงนุ่มๆ เพื่อจะได้มีแรงเดินทางต่อไปด้วยความสดชื่น แทนการนอนคุดคู้อยู่ในรถยนต์ ส่วนตัวแล้วเวลาขับรถไปต่างจังหวัดจะพยายามสังเกตว่าจะมีธุรกิจอะไรแปลกใหม่ที่จะเข้ามาให้บริการในปั๊มน้ำมันอีกหรือไม่

การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็ไม่ได้ต่างกัน พื้นที่ส่วนกลางที่เหล่านักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พยายามจะเฟ้นหาธุรกิจต่างๆ ที่จะนำเข้ามาบรรจุไว้เป็น Facility ของโครงการต่างๆ ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือสองประเภท และไม่ได้พิจารณาแต่เฉพาะความต้องการของผู้ที่อยู่อาศัยในโครงการเท่านั้น โดยเฉพาะจุดเด่น Facility ในรูปแบบที่มีความพิเศษกว่าตรงที่นอกจากจะให้บริการคนในโครงการแล้วยังเน้นพัฒนาให้ธุรกิจประเภทต่างๆ มีศักยภาพที่จะให้บริการแก่บุคคลภายนอกด้วย ด้วยวัตถุประสงค์และเป้าหมายของการบริหารจัดการ Facility เพื่อให้เกิด Passive Income กลับคือสู่.. "ผู้อยู่อาศัย"

การสร้าง Hub ในครั้งนี้จึงเป็นการเปิดกว้างให้ธุรกิจแต่ละประเภทมาร่วมกันวางแผนธุรกิจให้สอดรับกับคอนเซ็ปของโครงการแต่ละโครงการ หรือแม้แต่บุคคลทั่วไปก็สามารถเข้ามาร่วมเสวนา ปรึกษาหารือ โดยมีทีมงานคอยช่วยประสานและให้คำปรึกษาในธุรกิจแต่ละประเภท ไม่ว่าในท้ายสุดแล้วจะได้ร่วมงานกันรือไม่ หรืออาจจะได้เป็นพันธมิตรในธุรกิจอื่นๆ ของท่านอื่นที่เข้ามาใน Hub

นอกเหนือไปจากการเฟ้นหาธุรกิจที่น่าสนใจและแตกต่างที่โดดเด่นเข้าสู่ Facility ในแต่ละโครงการแล้ว ค่อนข้างจะเห็นใจ ผู้ที่กำลังเริ่มสร้างธุรกิจของตนเอง (ไม่ใช่ธุรกิจขายตรงนะ) ในสภาวะการแข่งขันปัจจุบัน การจะเริ่มต้นธุรกิจใดๆ ดูจะยากขึ้นทุกที เพราะทุนใหญ่ที่เข้ามาจนไม่เหลือพื้นที่ให้กับผู้ประกอบการเล็กๆ จะได้ยืนหรือหายใจ ไม่ต้องพูดถึงโอกาสที่จะได้เป็นผู้ท้าชิง แค่ส่วนแบ่งการตลาดไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ทุนใหญ่จะแย่งไปจนแทบจะไม่เหลือ หรือหาทำธุรกิจมาก่อนอยู่แล้วก็อาจจะต้องประสบกับภาวะที่ทุนใหญ่สนใจธุรกิจที่ทำมาช้านาน และเริ่มมีการเข้าไปครอบงำด้วยกลยุทธ์สารพัดวิธี จนกลายเป็นการผูกขาดไปในที่สุด

ในอดีตการจะสู้กับทุนใหญ่เหล่านั้นก็ต้องใช้ทั้งกำลังคนและกำลังเงินจำนวนมหาศาล แต่ปัจจุบันใช้เพียง..สมอง และความเร็ว เพื่อหาช่องทางที่จะแทรกเข้าไปยืนในธุรกิจที่สนใจ หรือรักษาฐานลูกค้าไว้อย่างเหนียวแน่น มีทุนใหญ่เข้ามาเป็นนคู่แข่งลูกค้าเดิมก็ไม่ปันใจไปให้ทุนใหญ่ที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจนั้นๆ และสร้างฐานลูกค้าใหม่ จุดอ่อนของธุรกิจหนึ่ง อาจเป็นโอกาสของอีกธุรกิจ การหาความลงตัวในการจะเชื่อมโยงและเป็นพันธมิตรทางการค้ากัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับธุรกิจของตัวเอง เข้าลักษณะ "รวมกันเราอยู่" เพื่อที่จะเติบโตไปด้วยกัน

เชิญเข้าเยี่ยมชมและ พูดคุยแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์

อสังหาริม ทรัพย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อบรม สัมมนา รวยด้วยอสังหา 2558 ลงทุน อสังหา ลงทุนบ้าน ลงทุนคอนโด นายหน้า ที่ดิน คอนโด บ้าน อสังหา 2558 กฎหมายอสังหา

"รีโนเวท" จับอสังหาฯ "ใส่ตะกร้าล้างน้ำ"


นับวันกระแสการรีโนเวทบ้าน คอนโดมิเนียมก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็ทำเป็นงานอดิเรก ทำด้วยใจรัก แต่ไม่แน่ใจเท่าไรว่าจะมีการทำในเชิงพาณิชย์มากน้อยเพียงใด ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สไตล์ซื้อของเก่ามาปรับปรุงให้ไฉไลแล้วขายใหม่ในราคาที่สูงขึ้น ถ้าเอาภาษาบ้านๆ "จับใส่ตะกร้าล้างน้ำ" ชุบตัวเป็นของใหม่สดซิงออกมาขาย นายหน้าหลายยุคหลายสมัยก็นิยมทำกัน แม้กระทั่งประมาณสิบปีก่อนเคยเห็นโบรชัวร์ของธนาคารไทยทนุที่นำทรัพย์สินรอการขายมาทำการรีโนเวท แต่ทำได้เพียงไม่นานก่อนจะควบรวมกับธนาคารทหารไทย ปัจจุบันก็ไม่ได้ตามข่าวต่อว่ายังมีโครงการเช่นนี้อีกหรือไม่

แม้ว่าจะทำได้จริง และอาจจะมีบางคนเชื่ออย่างสนิทใจว่าการรีโนเวทบ้าน หรือ คอนโดมิเนียม เป็นก้าวเล็กๆ ก้าวแรก สำหรับผู้ใฝ่ฝันจะเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่การรีโนเวทจะใช่หนทางที่จะไปสู่นักพัฒนาอสังริมทรัพย์มืออาชีพจริงๆ ?? จะไม่เป็นการเสียเวลาไปกับความฝันหรือเปล่า ซึ่งตรงนี้ใครก็ตอบไม่ได้เพราะการแสวงหาผลประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ไม่เฮงจริงๆ ไม่ได้ใช้เวลาเพียงชั่วข้ามคืนแน่นอน ซึ่งระหว่างนั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่อะไรจะสำคัญเท่าผลตอบแทนที่คาดหวังต่ำกว่าต้นทุน หรือพูดง่ายๆ "ประสบภาวะขาดทุน" นั่นเอง

บางคนก็ปลอบใจตัวเองด้วยคำว่า มักน้อยทำด้วยใจรัก แต่หากจะเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพเกรงว่าการมักน้อยจะก่อให้เกิดหายนะที่ไม่คาดฝันได้เช่น ได้รับผลตอบแทนล่าช้าจากสาเหตุใดๆ ก็ตาม ที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าการแสวงหาผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์ไม่รวดเร็วดังฝัน ถ้าไม่มีกลยุทธ์และเป้าหมายหรือแผนธุรกิจที่ดีและชัดเจน รวมทั้ง connection หากนำเงินออมส่วนตัวมาลงทุนเมื่อพิจารณาระยะเวลาที่จะได้รับผลตอบแทน หากขายออกช้าแล้วดูเฉพาะตัวเลขทางบัญชีก็อาจจะเป็นบวก แต่หากละเอียดอีกนิดจะพบความจริงที่น่าสะพรึงกลัวว่ามูลค่าปัจจุบันของเม็ดเงินลดลง เรียกว่าไม่เพียงพอที่จะลงทุนในขนาดของโครงการที่มีขนาดเดียวกันได้อีกต่อไป และจะยิ่งฝันร้ายกว่า หากเป็นการกู้เงินมาลงทุนรีโนเวท เพราะเมื่อถึงกรอบระยะเวลาที่จะต้องชำระเงินค่างวด พร้อม "ดอกเบี้ย" กับสถาบันการเงิน แต่ยังขายบ้านไม่ได้ หรือชีวิตเกิดพลิกผัน กนง.ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ขึ้นดอกเบี้ยกันเป็นขบวนพาเหรดจะซวยหนักไปอีก รีไฟแนนซ์แต่ละครั้งเพื่อหาดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุดก็ต้องมีค่าใช้จ่ายค่าดำเนินการที่บางทีก็ไม่คุ้มที่จะรีไฟแนนซ์เปลี่ยนสถาบันการเงิน

เรามักจะถูกปลูกฝังด้วยความเชื่องมงายตามคำสอนของคนโบร่ำโบราณว่าที่ดินเป็นสิ่งที่ไม่เน่าไม่เสีย มีแต่ราคาจะสูงขึ้น ตามที่ได้ยินคำพูดเหน็บแนมว่า "มีเงินเรียกน้อง มีทองเรียกพี่ มีที่เรียกพ่อ" ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ว่าที่ดินไม่เน่าเสีย แต่อาคารและสิ่งปลูกสร้างบังเอิญมี "ค่าเสื่อม" ท่านจะเอาถุงพลาสติกมาห่อบ้านไว้กันแดดกันลมกันฝนก็คงทำไม่ได้ ยิ่งนานวันราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างก็ยิ่งจะถูกบั่นทอนให้ลดน้อยถอยลง ทั้งกระแสค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมทีเคยนิยมอยู่อาศัยบ้านเดี่ยว ทาวส์เฮ้าส์ บ้านแฝด โฮมออฟฟิซ ผ่านไปสักระยะก็เปลี่ยนเป็นคอนโดมิเนียม หรือเกิดเหตุการณ์ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น น้ำท่วมใหญ่หลายปีก่อน ทำเลที่เคยว่าดีเพราะปกติไม่มีน้ำท่วมขัง แต่เจอน้ำท่วมใหญ่เพียงครั้งเดียวก็กลายเป็นตราบาปไป ผู้บริโภคหันไปสนใจคอนโดมิเนียมแทน

เรื่องต้นทุนของการรีโนเวทบ้าน สำหรับคนทั่วไปมักจะมีต้นทุนที่สูงกว่า นิติบุคคลที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ เพราะไม่มีคอนแทคกับผู้รับเหมา ที่ต่างก็แข่งกันเสนอราคาก่อสร้างให้นิติบุคคลเพื่อให้ได้งาน ที่เป็นงานใหญ่สร้างผลตอบแทนให้กับผู้รับเหมาเป็นกอบเป็นกำ จึงทำให้เกิดการแข่งขันกันระหว่างผู้รับเหมาฯ แต่ละรายที่พยายามจะเสนอราคาค่าก่อสร้างต่ำกว่าผู้รับหมารายอื่น ใช้ข้อได้เปรียบในการซื้อวัสดุต่างๆ ปริมาณมาก สามารถต่อรองต้นทุนกับผู้จำหน่ายวัสดุก่อสร้างได้ เพราะผู้รับเหมาส่วนใหญ่ก็มีคอนแทคกับผู้จัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้างอยู่แล้ว หรืออาจจะเป็นบริษัทเดียว กันดีไม่ดีหากต่างฝ่ายต่างหยิบยื่นข้อเสนอที่ลงตัวด้วยกันทั้งสองฝ่ายก็อาจจะได้วัสดุก่อสร้างในราคาต้นทุนด้วยซ้ำไป แต่ใช่ว่าของถูกจะดีเสมอไป แต่ในระดับบริษัทแล้วจะมีฝ่ายที่รับผิดชอบการตรวจสอบดีเทลต่างๆ ตั้งแต่โปรไฟล์ของผู้รับเหมาแต่ละรายกันเลยทีเดียว บางรายประวัติไม่ดีจะว่าไม่ให้โอกาสก็ไม่เชิง เพราะมิได้สร้างบ้านโมเดลไว้ทับกระดาษ ความสูญเสียที่เกิดจากความผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัสดุไม่ได้คุณภาพ หรือความสะเพร่าของตัวผู้รับเหมาฯ เอง ใครจะรับผิดชอบไหว

เรื่องการเงิน หากเป็นการกู้ยืม เพื่อให้เข้าล็อคคำว่า "จับเสือมือเปล่า" การรีโนเวทบ้านเพื่อขายหากไม่ได้เป็นนิติบุคคลก็อาจจะเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนที่พร้อมจะหยิบยื่นข้อเสนอดีๆ เหมือนโครงการขนาดใหญ่ และที่แน่นอนที่สุด "อำนาจต่อรอง" กับสถาบันการเงิน เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาการชำระหนี้ นับเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเลยทีเดียวสำหรับการจัดการการเงินในลักษณะนี้  สถาบันการเงินกลัวที่สุดคือความสามารถในการชำระหนี้ หลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย และปรารถนาจะได้อัตราดอกเบี้ยมากๆ จากผู้กู้ ฟังดูง่ายๆ เวลาที่ฟังว่าใครทำได้ก็ดูง่ายเหมือนปอกกล้วย แต่เมื่อลงมือทำจริงๆ ก็จะพบว่าไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด การพิจารณาจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติเงินกู้แต่ละรายจะเป็นคนละเรื่องเดียวกันเลย

มาถึงเรื่องความเสี่ยง นิติบุคคลก็มีศักยภาพเพียงพอที่จะรับมือกับความเสี่ยงในแต่ละรูปแบบเพราะไม่ได้ทำโครงการเดียว และแต่ละโครงการก็จะไดัรับการวิเคราะห์และประเมินอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยทีมงานจำนวนมากหลากหลายสาขาที่ชำนาญเฉพาะด้านจริงๆ ที่ร่วมกันรับผิดชอบในโครงการหนึ่ง

ทีมวิศวกรของบริษัทอสังหาฯ โดยมากมักจะคัดเฉพาะมืออาชีพประสบการณ์สูง ในการก่อสร้างหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ความรับผิดชอบไม่ใช่เพียงตัวบุคคลใดที่เกี่ยวข้อง เพียงไม่กี่คนที่จะแบกรับไหว ชื่อเสียงของบริษัทฯ ที่จะกระทบกับความเชื่อมั่นของลูกค้า ผู้ถือหุ้น และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังโครงการอื่นๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บริษัทจึงไม่ยอมตายน้ำตื้นเสี่ยงกับการว่าจ้างวิศวกรที่ขาดความชำนาญ

ดังนั้น หากฝันอยากจะเป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แล้วคิดว่าการรีโนเวทบ้านเชิงพาณิชย์จะเป็นก้าวเล็กๆ ก้าวแรก อาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด มิฉะนั้นแล้ว ทำไมผู้ที่มีเงินถุงเงินถังจำนวนมาก ไม่สนใจที่จะทำธุรกิจในลักษณะดังกล่าว จะมองเพียงโครงการใหญ่ๆ เท่านั้น คงจะมีแต่เพียงผู้รับเหมาฯ ที่จะส่งเสริมแนวคิดนี้ เพราะไม่ต้องแบกรับต้นทุนหรือความเสี่ยงใดๆ เป็นเพียงผู้รับจ้างทำงานเท่านั้น แม้จะต่อรองได้บ้าง แต่ด้วยผู้รับเหมาทราบว่าผู้ว่าจ้างไม่มีความรู้งานก่อสร้างก็อาจจะโดนดีได้เหมือนกัน ก็คงไม่ต่างจากที่ท่านเดินดุ่ยๆ ไปเช็คอินเข้าพักในโรงแรมดังๆ หรูๆ ที่หน้าฟร้อน "ฟันกันคอแทบขาด" ทั้งระดับความรับผิดชอบของผู้รับเหมาก็แตกต่างกัน หากเป็นนิติบุคคลผู้รับเหมาจะค่อนข้างระมัดระวังในการดำเนินการต่างๆ สูงกว่า เพราะหมายถึงการจะได้ "ไปต่อ" ในโครงการอื่นๆ อีกหรือไม่

ด้วยข้อจำกัดต่างๆ ที่ทำให้การรีโนเวทบ้าน หรือคอนโด เพื่อการพาณิชย์ โดยการลงทุนเป็นการส่วนตัว กับผลตอบแทนที่บางทีก็เหมือนจะลวงตาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว อาจจะได้แง่คิดหรือมุมมองที่น่าสนใจกว่า สร้างนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ เรียนจริง ทำจริง ให้รู้จริง เรื่องอสังหาริมทรัพย์ ด้วยตัวท่านเอง

อสังหาริม ทรัพย์ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อบรม สัมมนา รวยด้วยอสังหา 2558 ลงทุน อสังหา ลงทุนบ้าน ลงทุนคอนโด นายหน้า ที่ดิน คอนโด บ้าน อสังหา 2558 กฎหมายอสังหารีโนเวท

ยีเอ๋ง บัณฑิตผู้ต้องพบจุดจบอย่างไร้ค่า

เคยอ่านวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์ที่จัดเป็นวรรณกรรมเพชรน้ำเอกระดับโลกอย่าง "สามก๊ก" จะยังจำ "ยีเอ๋ง" คนนี้ได้หรือไม่ แม้จะไม่มีบทบาทสำคัญอะไรมากมาย และปรากฎเพียงแค่ไม่กี่หน้าจากทั้งหมดหลายร้อยหน้า แต่แม้ว่าเรื่องสามก๊กจะมีอายุยาวนานเท่าใด ลักษณะของคนอย่างยีเอ๋งก็ยังคงปรากฎให้เห็นทุกยุคสมัย และเป็นคติเตือนใจไม่ให้วิญญาณยีเอ๋งเข้าสิงสู่จิตใจได้เป็นอย่างดี ลองดูว่าทำไมยีเอ๋งที่เป็นถึงบัณฑิตที่ต้องจบชีวิตลงง่ายๆ อย่างน่าเสียดายด้วยเหตุใด

ยีเอ๋ง (อังกฤษ: Mi Heng; จีนตัวย่อ: 弥衡; จีนตัวเต็ม: 彌衡; พินอิน: Mí Héng) หนึ่งในที่ปรึกษาของโจโฉที่ปากดีอวดเก่งไม่รู้เวลา จึงถูกประหารชีวิต ยีเอ๋งปรากฏตัวครั้งแรก เมื่อเตียวสิ้วเข้าร่วมกับโจโฉแล้ว โจโฉต้องการทูตไปเจรจาเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเป็นพวกด้วย จึงปรึกษาขงหยงว่าควรตั้งใครเป็นทูตไปเกงจิ๋วดี ขงหยงเสนอยีเอ๋ง บัณฑิตหนุ่มอายุ 20 ปี โจโฉก็เคยได้ยินชื่อยีเอ๋งมาบ้าง จึงเชิญให้ยีเอ๋งมาพบ

เมื่อยีเอ๋งมาถึงแล้วได้คำนับโจโฉ แต่โจโฉไม่ยอมคำนับตอบ ด้วยเห็นว่ายีเอ๋งไม่มีท่าทีว่าจะเป็นคนฉลาดเฉลียวสมดังคำเล่าลือ ยีเอ๋งจึงรำพันออกมาว่า ณ ที่นี่กว้างนักแต่หาคนดี ๆ สักคนไม่มี โจโฉจึงถามว่า อันข้าพเจ้านั้นมีผู้ดี ๆ เก่ง ๆ มาร่วมงานมากมาย ไฉนจึงว่าไม่มีคนดีมาร่วมงาน ยีเอ๋งจึงถามว่า บุคคลที่ท่านว่าดี ยกตัวอย่างมาสิ โจโฉจึงตอบไปหลายคนทั้งขุนนางบุ๋นและบู๊ ได้แก่ ซุนฮก, ซุนฮิว, กุยแก, เทียหยก, เตียวเลี้ยว, เคาทู, ลิเตียน, งักจิ้น แต่ยีเอ๋งกลับหัวเราะเยาะพร้อมกล่าวถึงบุคคลที่โจโฉว่ามาแต่ละคนล้วนแต่ไม่ ได้เรื่องว่า ซุนฮกเหมาะสำหรับใช้ให้ไปเยี่ยมคนป่วยหรือไปร่วมงานศพเท่านั้น ซุนฮิวนั้นก็เหมาะที่จะเป็นสัปเหร่อมากกว่า กุยแกก็เหมาะสำหรับแต่งโคลงกลอนหรืออ่านหนังสือให้คนไม่รู้หนังสือฟัง ส่วนเทียหยกก็สมควรให้เป็นภารโรง เตียวเลี้ยวก็เหมาะกับหน้าที่ตีเกราะเคาะระฆัง เคาทูก็เหมาะกับการเลี้ยงวัวควาย ลิเตียนก็สมกับงานเดินหนังสือ งักจิ้นดูแล้วก็ไม่น่ามีตำแหน่งเกินกว่าเสมียน

และยังเอ่ยถึงบุคคลที่โจโฉไม่ได้กล่าวถึงเพิ่มอีกในแบบเดียวกัน คือ ลิยอย ก็ใช้ได้เพียงแค่คนเช็ดทำความสะอาดอาวุธ หมันทองก็เอาแต่เสพสุรา อิกิ๋มก็เหมาะสำหรับกรรมกรยกของหนัก ซิหลงก็เหมาะกับอาชีพฆ่าหมูขาย ส่วนแฮหัวตุ้นนั่นเล่าแค่รักษาศีรษะตนให้ติดอยู่กับบ่าก็ยากพอแล้ว

โจโฉฟังแล้วโมโหยีเอ๋งยิ่งนัก แต่ระงับอารมณ์ไว้ ได้ย้อนถามกลับไปว่า ท่านว่าคนของข้าพเจ้าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วตัวท่านเล่ามีดีอะไรบ้าง ยีเอ๋งตอบไปว่า ข้าพเจ้ามีความรู้ท่วมฟ้า สามารถเพ็ดทูลฮ่องเต้ให้ ตั้งอยู่ในธรรมได้ และยังอบรมคนทั้งแผ่นดินได้อีกด้วย ถ้าจะว่าไปแล้ว ข้าพเจ้าชักเบื่อที่จะเจรจากับผู้ไร้สติปัญญาเช่นท่านแล้ว เหมือนพูดกับคนที่ไม่รู้ภาษามนุษย์ เตียวเลี้ยวทนไม่ไหวชักกระบี่จะสังหาร แต่โจโฉห้ามไว้ และให้ตำแหน่งยีเอ๋งเป็นคนตีกลองในวัง ซึ่งยีเอ๋งก็ไม่ขัดข้อง

ต่อมา โจโฉจัดงานเลี้ยงในวัง มีผู้เข้ามาร่วมงานมากมาย ซึ่งมีการแสดงดนตรีด้วย นักดนตรีแต่ละคนล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์สวยงามทั้งสิ้น แต่ยีเอ๋งกลับสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นมาตีกลองเพียงคนเดียว แต่ยีเอ๋งตีกลองได้อย่างไพเราะจับใจมาก ทำเอาแขกในงานซึ้งไปกับเสียงกลองของยีเอ๋ง เพลงนี้มีชื่อว่า "เพลงยูยัง" (Yu Yang) ซึ่งมีลำนำอันไพเราะ ทำให้ได้บรรยากาศริมน้ำ ขณะนั่งตกปลา ที่ต้องนิ่งสงบอยู่กลางเสียงปลาฮุบเบ็ด เสียงใบไผ่และใบวนสีกันเป็นจังหวะ ซึ่งความหมายตามภาษาจีนของยูยัง แปลว่าตกปลา ยาขอบตั้งชื่อเพลงนี้ว่า "เพลงมัสยาหลงเหยื่อ" บางคนถึงกับน้ำตาไหลซาบซึ้ง เมื่อตีจบแล้ว บรรดาแขกไปรุมถามยีเอ๋งว่า เหตุไฉนท่านจึงแต่งกายสกปรกเช่นนี้ โจโฉโมโหจึงตวาดถามไปด้วยเสียงอันดังว่า ทำไมถึงแต่งตัวเช่นนี้ในเขตพระราชฐาน ยีเอ๋งแทนที่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า กลับประชดถอดเสื้อผ้าออกหมด โจโฉยิ่งโมโหยิ่งขึ้น แต่ยีเอ๋งตอบไปว่า เพราะตัวข้าพเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ ที่แก้ผ้าออกเพื่อที่จะให้ทุกคนเห็นเรือนร่างอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้า โจโฉจึงถามย้อนกลับไปว่า เช่นนั้นเรือนร่างใครสกปรก ยีเอ๋งจึงตอบไปว่า ก็ตัวท่านไงเล่า เพราะหูท่านชอบฟังแต่เรื่องปอปั้นเยินยอ จึงถือว่าเป็นหูสกปรก ตาท่านก็ชอบจะเห็นแต่สิ่งสวยงามมดเท็จ จึงถือได้ว่าเป็นตาสกปรก จิตใจท่านก็ยิ่งสกปรกใหญ่ คิดจะเป็นโจรปล้นชิงราชสมบัติ สถาปนาตนเป็นฮ่องเต้ ตัวข้าพเจ้าเป็นนักปราชญ์ที่ยิ่งใหญ่ กลับให้มาเป็นคนตีกลอง เช่นนี้หรือจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

โจโฉจึงคิดจะประหารยีเอ๋งทันที แต่เกรงคนจะครหา จึงส่งยีเอ๋งไปเป็นทูตเจรจากับเล่าเปียว หมายจะให้เล่าเปียวประหารแทน เมื่อไปถึง ยีเอ๋งเปิดฉากเจรจาด้วยการยกตนเองข่ม เล่าเปียวจึงคิดส่งยีเอ๋งไปให้หองจอ เจ้าเมืองกังแหประหารแทน ด้วยการบอกปัดไปว่า ให้ถามเอาจากหองจอ ถ้าหองจอเห็นดีด้วย ข้าพเจ้าก็ยินดี เมื่อไปถึงกังแห หองจอจัดงานเลี้ยงต้อนรับ เมื่อร่ำสุราได้ที่แล้ว ยีเอ๋งก็พูดจาข่มตนและอวดโอ้ตัวเองเสียเกินจริงอีกครั้ง หองจอได้ยินดังนั้นก็คิดว่า สมจริงดังที่โจโฉและหลายคนว่า หองจอแสร้งถามขอความเห็นจากยีเอ๋งว่า อันตัวข้าพเจ้านี้เป็นเจ้าเมือง ท่านเห็นควรหรือไม่ ยีเอ๋งตอบไปว่า ตัวท่านนั้นเหมือนเจว็ดในศาลเจ้า เหมาะให้คนมากราบไหว้รับของเซ่นสรวง ไม่ต้องทำอะไร สติปัญญาก็ไม่มี หองจอเลยสั่งให้นำตัวยีเอ๋งไปประหารทันที เมื่อโจโฉได้ทราบว่ายีเอ๋งโดนประหารไปแล้ว ก็หัวเราะสาแก่ใจ และบอกว่า ไอ้คนปากดีมันโดนประหารเพราะลิ้นมันแล้ว

(อ้างอิง: วิกิพีเดีย)

โดยส่วนตัวแล้วได้อ่านหนังสือสามก๊กมานานมาก ต่อเมื่อได้เห็นความพยายามจะนำเสนอความคิดอ่านในโลกโซเชียลมีเดียที่เปิดกว้างให้แสดงออกและเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะ ด้วยความที่เป็นยุคดิจิตอลที่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่ก็แอบผสมความหยาบและฉาบฉวยไว้ด้วย ที่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งทำให้เกิดความพยายาม "ลองดี" "ลองเชิง" "ลองภูมิ" ด้วยความเย่อหยิ่งในความสามารถค้นหาข้อมูล คิดว่าน่าจะดีไม่น้อยถ้านั่นจะเป็นความพยายามพัฒนาตนเองและส่งผ่านข้อมูลให้ได้ซักถามและศึกษากันด้วยความถ่อมตน ทำให้นึกถึงเรื่องยีเอ๋งขึ้นมาในทันใด ตอนแรกก็ยังนึกไม่ออกว่าชื่ออะไรจำได้เพียงแต่ว่ามีสักคนหนึ่งที่ปรากฎในเรื่องสามก๊กที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน จะว่าอย่างไรได้ในโลกยุคที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง เก่งจริง รู้มาก แต่โม้ไม่เก่งก็ไม่ได้เกิด ขณะเดียวกันใช่ว่าดีแต่ปากแต่ไม่รู้จริงจะอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัย ขนาดยีเอ๋งบัณฑิตหนุ่มน้ำล้นจอกที่ขงหยงอุตส่าห์แนะนำให้ได้มีโอกาสเป็นถึงกุนซือของมหาอุปราชยังต้องจบชีวิตลงอย่างไม่สมกับเป็นบัณฑิต เพียงเพราะความโอหังอวดดี